ฉู่หลิวเยว่กำลังดำดิ่งอยู่ห้วงแห่งความฝัน
ในความฝันนั้น นางอยู่ในสถานที่อันแปลกตา พบพานกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก และกระทำสิ่งต่างๆ ที่นางมิคุ้นชินหลายอย่าง
และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ นางฝันว่าตัวเองกำลังพยายามบุกเข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพ
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งผ่าลงมา!
ความเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาตื่นขึ้นทันควัน!
นางหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ ใจดวงน้อยเต้นรัวระส่ำ พร้อมกระแสโลหิตที่แล่นริ้วแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเนื่องด้วยอาการตื่นตระหนก
เสมือนว่าความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองไปรอบๆ ประหนึ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก
ยามนี้นางยังนอนอยู่บนเตียง และถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมผืนหนา มิได้บุบสลายหรือบาดเจ็บแต่อย่างใด
ทว่าในห้วงสุบิน ความรู้สึกที่ถูกทัณฑ์สวรรค์สายฟ้าฟาดใส่นั้นกลับเจ็บปวดสุดแสนจะทรมาน ราวกับว่านางเคยประสบกับมันมาก่อน
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางๆ อันคุ้นเคยในอากาศ
นั่นคือลมปราณของหรงซิว
ใช่แล้ว เพลานี้นางกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทมของหรงซิว ณ ตำหนักสักการะเทพ
เมื่อคืนพวกเขาสองคนคุยกันเยอะมาก ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับความทรงจำของเธอที่หายไปและเรื่องราวในอดีตของพวกเขา
ซึ่งสรุปได้ว่าพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว แต่วันวานเหล่านั้นกลับมิได้เกิดขึ้นในอาณาจักรเย่าเฉิน หรือราชวงศ์เทียนลิ่ง หากแต่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่างหาก
หรงซิวอธิบายให้นางกระจ่างว่า ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันและเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่
ทว่าต่อมาเขาก็พบว่านางมิใช่คนของอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่มาจากราชวงศ์เทียนลิ่งที่อยู่นอกพรมแดน
และหลังจากที่นางกลับไปครานั้น เรื่องวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้น
ต่อมา เมื่อหรงซิวรู้ถึงความผิดปกติ เขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหาวิธีทำให้นางเกิดใหม่ในร่างของฉู่หลิวเยว่ให้ได้ และเฝ้ารอให้นางตื่นจากการหลับไหล
และเป็นเพราะความตั้งใจอันแน่วแน่ของนาง ที่เลือกจุดไฟเผาชีพจรเทียนจิงของตัวเองก่อนตาย ส่งผลให้หลังจากสิ้นใจ ดวงวิญณาณของนางก็เหลือเพียงเศษเสี้ยวและกระจัดกระจายออกไป และเขาก็หามันพบเพียงบางส่วนเท่านั้น
ดังนั้นดวงวิญญาณของนางจึงไม่สมบูรณ์ และสูญเสียความทรงจำบางส่วน
แต่ส่วนที่หายไปนั้น คือความทรงจำที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเราสองคน
…
ฉู่หลิวเยว่นวดหว่างคิ้วของตนไปมา
หลังจากนอนพักฟื้นได้หนึ่งคืน ในที่สุดนางก็ได้สติ
และหลังจากวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่ชั่วขณะ ก็ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจอันใดมากขึ้น ทว่าอีกใจหนึ่งก็มีคำถามใหม่ผุดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะนางไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงออกจากราชวงศ์เทียนลิ่ง แล้วเดินทางมายังอาณาจักรเสิ่นซวี่
ซึ่งตรงนี้หรงซิวเองก็ดูจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
เพราะไม่นานหลังจากที่เขารู้ว่านางมาจากราชวงศ์เทียนลิ่ง นางก็กลับไปแล้ว เขาเองยังไม่ทันได้ถามไถ่สิ่งใดเลย
ร่างเพรียวระหงก้าวขาไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง และรินชาให้ตัวเอง
ควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาพร้อมไอน้ำหยดเล็กๆ ที่จับตัวกันเพราะความร้อน
เสมือนว่ามันจะเพิ่งถูกต้มเสร็จ
ฉู่หลิวเยว่พลันหยุดชะงัก พร้อมแสงหนึ่งที่แวบเข้ามาในดวงตาของนาง
ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้ นางได้ลองเชิงถามหรงซิวว่าเขารู้เรื่องเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำหรือไม่
แต่เหมือนว่าหรงซิวจะไม่รู้อันใดเกี่ยวกับมันเลย
ฉู่หลิวเยว่สงสัยมาตลอดว่าหรงซิวคือบุรุษชุดดำผู้นั้น ทว่าตอนนี้นางกลับเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
นั่นเพราะประการแรก บุรุษชุดดำผู้นั้นผนึกดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของนางไว้ ซึ่งหากเขาคือหรงซิวตัวจริง ก็น่าจะพยายามช่วยค้นหาเศษเสี้ยวดวงวิญญาณทั้งหมด เพื่อฟื้นความทรงจำให้นางมากกว่า
ประการที่สอง นางจำได้ว่าในความทรงจำที่เหลืออยู่นั้น นางมองเห็นร่างเงาสองร่าง
คนหนึ่งคือหรงซิว และอีกคนคือบุรุษชุดดำ
และสัมผัสหยั่งรู้ของนางในปัจจุบันก็คิดว่าหรงซิวกับบุรุษผู้นั้นเป็นคนละคนจริงๆ
อีกทั้งหรงซิวเองก็เหมือนจะไม่รู้จักคนผู้นั้นเลยสักนิด
สรุปแล้วคืออันใดกันแน่ หรืออาจต้องรอให้ความทรงจำทั้งหมดของนางกลับมาได้เสียก่อนถึงจะรู้
ครั้นคิดได้เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็กลั้นหายใจแล้วตั้งสมาธิ
นางเห็นรอยร้าวสามรอยบนเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำที่ลอยอยู่เงียบๆ ในจุดตันเถียน
มีแสงสีทองรำไรแทรกซอนออกมาจากข้างใน
เศษเสี้ยวความทรงจำของนางเองก็น่าจะรั่วไหลออกมาจากมันเหมือนกัน
ถ้าเปิดมันได้คงจะดีกว่านี้…
ฉู่หลิวเยว่พลันรวบรวมพลังปราณดั้งเดิม แล้วเตรียมโจมตีเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำอีกครั้ง!
“แอด…”
แต่แล้วประตูบานใหญ่กลับเปิดออกเสียก่อน
แต่นี่คือการเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่าเชียวนะ!
ฉู่หลิวเยว่เริ่มหวนนึกถึงคืนก่อน ยามที่นางถูกครอบงำด้วยพลังหมากรุกอันน่ากลัวของตู๋กูโม่เป่า
จนถึงตอนนี้ เพียงเค่อเดียวนางก็ยังไม่รอดเลย!
ทุกครั้งที่นางเดินหมาก ล้วนถูกอีกฝ่ายสังหารอย่างเลือดเย็น!
ยิ่งคิดยิ่งสมเพชตัวเองสุดๆ!
สองชั่วยามหรือ…เดาไม่ออกเลยว่านางจะถูกจับเชือดซ้ำๆ จนหมดสภาพขนาดไหน!
“นอกจากนี้ ทุกวันเจ้าจะต้องมาฝึกซ้อมกับหุ่นเชิดที่ข้าปรับแต่งใหม่เป็นเวลาสองชั่วยาม”
ตู๋กูโม่เป่าหรี่ตาลง
ดวงตาที่แต่เดิมดูเฉยเมยดุจน้ำนิ่งไหลลึกคู่นั้น บัดนี้กลับทอแสงประกายแวววับออกมาอย่างรุนแรง
“เพราะเจ้ายังอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นต้น ฉะนั้นก็มาเริ่มเรียนขั้นพื้นฐานก่อน อย่างเช่นสู้กับ…ระดับแปดขั้นต้นไปเลย!”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตากระตุก
“พี่เป่า เจ้าเข้าใจระดับเจ็ดขั้นต้นผิดหรือเปล่า?”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิกๆ และพยายามถามอย่างใจเย็น
“ข้าอยู่ระดับเจ็ดขั้นต้น แต่เจ้าจะให้ข้าสู้กับระดับแปดขั้นต้นหรือ ข้ามขั้นขนาดนี้มันไม่เกินไป…”
“เช่นนั้นก็ระดับแปดขั้นกลาง…”
“เอาที่เจ้าพูดตอนแรกดีกว่า!”
สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอันแรงกล้า บังคับให้ฉู่หลิวเยว่รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับนางแล้ว ถ้าตู๋กูโม่เป่าพูดเช่นนั้น เขาย่อมทำอย่างที่พูดแน่นอน!
และตราบใดที่นางยังหายใจอยู่ เขาจะมิยอมอ่อนข้อให้นางเด็ดขาด!
ตู๋กูโม่เป่าชำเลืองมองนาง ประหนึ่งอ่านความคิดของนางได้ ก่อนจะพูดออกมาโต้งๆ ว่า
“ข้าให้เวลาเจ้าแค่สิบวันเท่านั้น และหลังจากสิบวัน เจ้าจะต้องเลื่อนขึ้นสู่ระดับแปดขั้นกลาง”
ฉู่หลิวเยว่ “… พี่เป่า ข้าผิดไปแล้ว ข้า…”
“ที่นี่คือพระราชวังเมฆาสวรรค์ พลังปราณของสวรรค์และโลก ณ ที่แห่งนี้แกร่งกล้าและเพียงพอที่จะทำให้เจ้าฝึกตนได้เร็วขึ้น แถมตอนนี้ชีพจรเทียนจิงของเจ้าก็ได้รับการซ่อมแซมแล้ว ดังนั้นเจ้ายิ่งต้องทำให้ได้”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวพลางขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เจ้าหยุดอยู่ระดับเจ็ดขั้นต้นนานเกินไปแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ “???”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...