เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1101

ขณะเดียวกัน โหรวหรูไห่ที่อยู่ในห้องโถงข้างๆ เองก็ทราบข่าวการมาถึงของฉู่หลิวเยว่

เขากระสับกระส่ายเดินวนรอบห้องไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

ในฐานะเซียนหมอระดับเก้าขั้นสูงสุด ไม่ว่าเขาจะไปเยือนที่ใด ก็ล้วนได้รับคำสรรเสริญเยินยอล้นหลาม

ดังนั้นเขาจึงติดนิสัยวางมาดและมักจะทำตัวหยิ่งยโสอยู่เสมอ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างใด ราวชินชากับความอวดดีของตนไปแล้ว

แต่คราวนี้ เขารู้ดีว่าตัวเองจนตรอกแล้ว!

นับตั้งแต่พิธีคัดเลือกชายาเอกในคืนนั้น ตำแหน่งพระชายาก็ตกเป็นของฉู่หลิวเยว่อย่างสมบูรณ์ ส่วนเขานั้นตกตะลึงจนทำอันใดไม่ถูก

เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาห้องได้เยี่ยงไร ทว่ามีประโยคหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในหัวเขาไม่หยุด

มันจบแล้ว!

พังหมดทุกอย่าง!

ถ้าไปเผลอล้ำเส้นคนอื่นคงไม่เป็นไร แต่นี่กลับเป็นฉู่หลิวเยว่!

อีกทั้ง แค่มองจากการที่ฝ่าบาทปกป้องนางมากมายเพียงนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่าครั้งนี้เขาได้ทำให้โอรสสวรรค์ไม่พอใจอย่างมากเช่นกัน!

หลังจากที่โหรวหรูไห่กลับมา เขาก็แทบไม่เป็นอันกินอันนอน

เดิมทีเขาหวังให้ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง และไม่มาใส่ใจเรื่องอื่นมากเกินไป

แต่นางก็ยังมาที่นี่อีกจนได้!

ยามนี้โหรวหรูไห่แทบอดทนรอไม่ไหว แล้วพุ่งตัวออกไปฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกันให้จบๆ!

เขาในวันนี้ไม่รู้เลยว่าชะตาของตัวเองจะเป็นเช่นไร แต่ความจริง ชะตาของเขาได้ถูกตัดสินโดยกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เยี่ยนชิงไปทำธุระให้นางและกลับมาด้วยความว่องไว

ฉู่หลิวเยว่นำหม้อต้มโอสถออกมา และจัดวางไว้กลางห้องเพื่อปรุงโอสถให้เขา

แน่นอนว่านางไม่ได้ใช้หม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์

ร่างกายของหลินจือเฟยอยู่ในขั้นตอนการพักฟื้นขั้นสุดท้ายแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกลั่นเม็ดยาให้เขา หากแต่ใช้เพียงยาต้มก็พอ

ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ได้ยาต้มพร้อมดื่มแล้ว

กลิ่นหอมอันเข้มข้นของน้ำยาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง ยามสูดหายใจเอากลิ่นของมันเข้าไป ก็พลันทำให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

หลินเทียนเฟิงที่เดิมทีทั้งเศร้าโศกและโกรธเคือง ก็พลันสงบนิ่งขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

หลังจากที่หลินจือเฟยทานยาแล้ว ผิวของเขาซึ่งแต่เดิมซีดเซียว ก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาทีละน้อย

อันที่จริงร่างกายของเขาฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ฉู่หลิวเยว่คาดไว้เสียอีก

อย่างหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพรสวรรค์อันแกร่งกล้าของเขา และอีกอย่างอาจเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์ สถานที่ที่อุดมไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก และดีต่อการพักฟื้นหรือการฝึกฝนร่างกาย

ฉู่หลิวเยว่หันไปมองหลินเทียนเฟิง

“ข้ารบกวนประมุขหลินไป “เชิญ” โหรวหรูไห่มาที่นี่ที”

หลินเทียนเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้ารับ

ครั้นเงาของเขาหายไปจากครรลองสายตา หลินจือเฟยก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า

“ขอบคุณมาก หากแต่ มิทราบว่ามีอันใดที่ข้าสามารถช่วยเหลือพระชายาได้บ้างหรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ

หลินจือเฟยนี่ฉลาดจริงๆ

และการคบค้าสมาคมกับคนฉลาดนั้น ช่วยลดความกังวลและทุ่นแรงให้นางได้มาก

“ข้ามีเรื่องอยากจะขอให้เจ้าช่วย”

“โปรดเอ่ยมา”

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายให้ข้าเครื่องหนึ่ง”

มีแสงเข้ามาในดวงตาของหลินจือเฟย พร้อมคลื่นอารมณ์บางอย่างที่วูบไหวอยู่ในส่วนลึกของดวงตาใสกระจ่างคู่นั้น ราวกับน้ำในทะเลสาบอันตื้นเขิน

“จากไหนไปไหน”

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง

“จากผาแดนสวรรค์สู่ราชวงศ์เทียนลิ่ง”

สิ้นสุรเสียง ก็เกิดความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง

หลินจือเฟยเผลอเหลือบมองเยี่ยนชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง

“เยี่ยนชิงเป็นคนของฝ่าบาท แต่เจ้าไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”

ฉู่หลิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทว่าอย่างใดเสีย ประเดี๋ยวหรงซิวก็รู้อยู่ดีว่านางต้องการทำอันใด นางจึงเลือกทำมันอย่างเปิดเผย

สีหน้าของหลินจือเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารู้สึกประหลาดใจจริงๆ

“พระโอรสยังมิทราบเรื่องนี้หรือ?”

“เขารู้แล้วแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วพลางยิ้มหวานด้วยความนัยอันลึกซึ้ง คำพูดของนางฟังดูเป็นธรรมชาติและหนักแน่นมาก

ขณะเดียวกัน หลินจือเฟยก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดตอนพูดถึง “สามี” ของนางในตอนนั้น คิ้วเรียวของนางถึงโค้งลงและดวงตาเป็นประกายเช่นนี้

นั่นเพราะคนคนนั้นเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นคนที่นางเชื่อใจมาโดยตลอด

พฤติกรรมงอนง้อกระเง้ากระงอดเช่นนี้ บางทีแม้แต่ตัวนางเองก็อาจมิได้ตระหนักรู้เลยสักนิด

หลินจือเฟยชะงัก

โหรวหรูไห่งอตัวแล้วกำมือแน่น เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว

เขาเป็นยอดฝีมือด้านเซียนหมอ ทว่าระดับการฝึกฝนของเขาในฐานะจอมยุทธ์นั้นธรรมดามาก

ดังนั้นเมื่อฉู่หลิวเยว่ตั้งใจปล่อยแรงกดดันออกมา เขาย่อมมิอาจต้านทานได้

จนกระทั่งขาของเขาเริ่มสั่นและใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง ฉู่หลิวเยว่ถึงยอมเปิดปากคุยกับเขา

“ผู้อาวุโสโหรวช่างสุภาพนัก แต่ข้ามาวันนี้ เพราะมีบางอย่างที่อยากจะถามไถ่ท่านเสียหน่อย”

ฉู่หลิวเยว่กล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองเขาเขม็ง

ดวงตาดำสนิทและเฉียบคมของนางนั้น ราวกับใบมีดที่สามารถฟาดฟันทุกสิ่งได้!

“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหลู่อวี้เออร์เป็นใคร?”

โหรวหรูไห่ตกใจพลันเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะรีบลดศีรษะลงอย่างรวดเร็วเมื่อสบเข้ากับดวงตาอันแข็งกร้าวและเย็นชาคู่นั้น

“ข้า ข้าไม่รู้ว่าพระชายากำลังพูดถึงเรื่องอันใด…”

“เยี่ยนชิง”

ฉู่หลิวเยว่ขานเรียกอย่างเกียจคร้าน

เยี่ยนชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่า แล้วเตะเข่าของโหรวหรูไห่อย่างแรง!

กรอบ!

เสียงกระดูกหักดังลั่น!

“อ๊าก…”

โหรวหรูไห่ร้องโอดโอยพลันคุกเข่าลง!

เขาอยากจะตะโกนด่าสาปแช่ง แต่ก็ยังไม่ลืมว่าตอนนี้สถานะของอีกฝ่ายนั้นสูงส่งแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเทียนเฟิงแทน

“ท่านประมุข! ช่วยข้าด้วย!”

แต่ฉู่หลิวเยว่ขัดจังหวะเขา

“ไม่ต้องตะโกน ผู้อาวุโสโหรว เพราะเมื่อครู่ประมุขหลินมอบสิทธิ์ในการลงโทษเจ้าให้ข้าแล้ว”

ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือตาย ชีวิตเขาขึ้นอยู่กับนางแล้ว!

โหรวหรูไห่ชาวาบไปทั้งใจ ก่อนจะรวบรวมกำลังที่เหลืออยู่เงยหน้าขึ้น พร้อมขยับริมฝีปากอันซีดเซียวนั่น

“ท่าน ท่าน…พระชายาท่านเพิ่งจะได้รับตำแหน่ง แต่กลับอดทนรอไม่ไหว แล้วคิดจะสังหารคนที่เคยทำให้ท่านขุ่นเคืองด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้ ท่านไม่กลัวถูกผู้คนวิจารณ์ว่าใจแคบโหดร้ายทารุณเลยหรือไร!?”

แต่จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่กลับหัวเราะ แล้วพูดเน้นทีละคำว่า

“ก็เพราะเพิ่งรับตำแหน่ง ถึงต้องรีบตั้งกฎเกณฑ์เสียที!”

——————————————-

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์