หลายวันมานี้ โดยทั่วไปแล้วร่างกายของหลินจือเฟยฟื้นตัวขึ้นมากเลยทีเดียว
เพียงแค่ฉู่หลิวเยว่ไปที่นั่นอีกครั้งและมอบโอสถครั้งสุดท้ายให้เขา เขาก็สามารถกลับออกไปได้อย่างสบายใจแล้ว
ส่วนเรื่องคนของหุบเขาหุบเขาหานซานนั้น ฉู่หลิวเยว่มิได้สนใจใคร่รู้เลยสักนิด
เพราะก่อนที่นางจะได้บอกหรงซิวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ชิงสั่งให้เยี่ยนชิงจัดการกับคนเหล่านั้นเสีย
ในตอนท้าย เมื่อถึงคราวที่พวกเขาได้กลับไป ฉู่หลิวเยว่ก็บังเอิญเจอพวกเขาครั้งหนึ่ง
และพบว่าหานเฉวียนได้สูญเสียขากับแขนอย่างละข้าง ส่วนคนที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสไม่มากก็น้อย
และอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูอวัยวะส่วนดังกล่าวได้ตลอดชีวิต
หลังจากนี้เป็นต้นไป คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ และคงยากที่พวกเขาจะรักษาสถานะในปัจจุบัน ของตนเองให้คงอยู่ได้
พระราชวังเมฆาสวรรค์ปกครองยี่สิบแปดชนเผ่า ซึ่งก่อนหน้านี้หรงซิวเคยบุกกวาดล้างคนของตำหนักหวู่ซวงมาแล้ว และยามนี้ แม้เขาจะทำลายหุบเขาหานซานเพิ่มอีก ก็ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ดังนั้นผู้คนของหุบเขาหานซานจึงไม่กล้าแม้แต่จะแสดงโทสะออกมา และทำได้เพียงหลบหนีออกไปด้วยความสิ้นหวัง
และเกรงว่าหากไม่รีบกุลีกุจอกลับไป คงจะถูกทิ้งไว้ให้ตายอย่างอนาถที่นี่แน่นอน
สถานการณ์ของหานเฉวียนกับโหรวหรูไห่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนเริ่มจับกลุ่มสนทนากันให้ขวัก
ขณะเดียวกัน ในที่สุดมันก็ทำให้คนบางพวกตระหนักได้แล้วว่า พระชายาที่เพิ่งได้ตำแหน่งผู้นี้มิได้อ่อนแออย่างที่คิด!
หากมีระบบความคิดและวิธีการ ควบคู่ไปกับพรสวรรค์เช่นนี้…การวางอำนาจในพระราชวังเมฆาสวรรค์ ย่อมมิใช่เรื่องยาก!
…
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยให้คนนอกแสดงความคิดเห็นและคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แต่หาได้สนใจไม่
ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่คนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ยำเกรงที่สุด ขอเพียงแค่นางแกร่งขึ้น ก็สามารถทำให้คนพวกนี้หุบปากได้แล้ว!
อีกอย่าง นางเองก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ
…
ในช่วงเที่ยงของวันหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหรงซิวยังพอมีเวลาว่าง ฉู่หลิวเยว่ก็ชวนเขามาเล่นหมากรุกด้วยกัน
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นฝ่ายแพ้อีกตามเคย
ฉู่หลิวเยว่พลันกัดฟันกรอด ยามมองไปยังกระดานหมากรุกแตกกระจายระเนระนาดตรงหน้า
พรสวรรค์และพละกำลังของชายผู้นี้น่าทึ่งมาก จนนึกกลัวว่าในเวลาอันน้อยนิดเช่นนี้ นางอาจจะไล่ตามเขาไม่ทัน!
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกสิ้นหวัง พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างจำยอม
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ข้าลืมถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ารู้จักจวินจิ่วชิงด้วยหรือ?”
หรงซิวหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองนางเงียบๆ
ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ แต่ก็ไม่เชิงว่ารู้จัก”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสงสัย
“พวกเจ้าไปรู้จักกันได้อย่างใด?”
พูดตามตรง นิสัยของสองคนนี้ไม่น่าใช่คนที่จะไปรู้จักมักจี่กันได้
แต่ดูเหมือนว่าจวินจิ่วชิงจะรู้อันใดบางอย่างเกี่ยวกับพระราชวังเมฆาสวรรค์
ซึ่งองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยหมิงอย่างเขา ไม่น่ามีข้อมูลของชาวเมฆาสวรรค์
“เขา…เคยมาเยือนอาณาจักรเสิ่นซวี่หรือ? หรือว่าเขาเป็นคนของอาณาจักรเสิ่นซวี่โดยกำเนิด?”
หรงซิวนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ
“เขาเกิดที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ เพียงแต่ไม่นานก็ถูกส่งตัวกลับไปที่ราชวงศ์เป่ยหมิง แต่…เขาไม่เคยตัดขาดความสัมพันธ์กับทางนี้”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเข้าใจ
เมื่อกล่าวเช่นนี้ หลายๆ สิ่งที่นางข้องใจก็เริ่มกระจ่างขึ้นมาแล้ว
ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่พยายามสุดชีวิตเพื่อหวังเข้าอาณาจักรเสิ่นซวี่ และตั้งรกรากปักฐานที่นี่
แต่จวินจิ่วชิงกลับ…
“ในตอนนั้น ชนเผ่าของเขาเกิดจลาจลและสงครามภายในขั้นรุนแรง ผู้กุมอำนาจสูงสุดจึงส่งเขาไปเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ ซึ่งต้นตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเป่ยหมิง ดังนั้น…”
“แสดงว่าเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของจักรพรรดิแห่งเป่ยหมิง?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เพราะสถานะของเขานั้นพิเศษ จวินฉีจือจึงปฏิบัติกับเขาราวลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง แต่นอกจากแม้แต่คนในราชวงศ์เป่ยหมิงแล้ว ก็แทบไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย”
“แต่เจ้ากลับรู้”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
หรงซิวเลิกคิ้วพลันหัวเราะ
“ถ้าเรื่องแค่นี้ข้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะได้ตำแหน่งโอรสสวรรค์มาได้อย่างใด”
หรงซิวระบายยิ้มเชิงหยอกล้อ ทว่าหัวใจของฉู่หลิวเยว่กลับบีบแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องประสบการณ์ชีวิตของหรงซิว นางรู้เพียงเรื่องทั่วไปของเขา ชนิดที่ว่าให้สาธยายออกมาสองสามประโยคก็จบแล้ว
ทว่าในประโยคง่ายๆ ที่หรงซิวกล่าวข้างต้นนั้น กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความลำบากยากเข็ญ ที่ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยรู้มาก่อน และมีเพียงแค่หรงซิวที่รู้
จากผู้ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของวงศ์ตระกูล สู่ผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสูงสูดของชนเผ่า…
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเขาผ่านอันใดมาบ้าง!
ฉู่หลิวเยว่ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ดังนั้นนางจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วไปหาหลินจือเฟยเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากได้รับการดูแลอย่างดีและพักฟื้นอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์สองสามวัน ผิวพรรณของหลินจือเฟยก็ดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ในอดีตตัวเขานั้นขาวซีดราวผนึกโปร่งแสงและเศษแก้วที่เปราะบาง แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนมนุษย์มากขึ้นแล้ว
รวมทั้งความแข็งแกร่งของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้น ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบประมาทเขา
ฉู่หลิวเยว่มอบโอสถให้เขากินเป็นครั้งสุดท้าย
หลินจือเฟยรับมันมา พลันชะงักไปนิด แล้วยกดื่มจนหมดในอึกเดียว
“ขอบใจมาก”
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มและส่ายหัว
“ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าสิ ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้าย”
หลินจือเฟยพยักหน้า พลางเอ่ยต่อ
“อันที่จริงหากว่าตามพลังของข้าในตอนนี้ คงยากที่จะทำมันให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นข้าจึงคิดว่า…ก่อนอื่นต้องหาวิธีพัฒนาความแข็งแกร่ง แล้วค่อย…”
“การลับมีดมิได้เป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้”[1]
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแทรกเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคิดเช่นนั้นย่อมมิใช่ปัญหาแต่อย่างใด ทว่าเรื่องขั้นตอนที่ละเอียดกว่านั้น เจ้าจะทำอย่างใด? ที่ผาแดนสวรรค์คง… มีใครสอนเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
และถึงมี ก็คงไม่มีใครเชื่อ
หลินจือเฟยนิ่งเงียบไปแวบหนึ่ง และพูดว่า
“ข้าจะไปที่สำนักหลิงเซียวก่อน”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจ
“ว่าอย่างใดนะ?”
“สำนักหลิงเซียว”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง หลินจือเฟยก็คิดว่านางไม่รู้จัก ก่อนจะอธิบายให้ฟังอย่างตั้งใจ
“สำนักหลิงเซียวคือสำนักวิชาชั้นนำในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ไม่ใช่แค่นั้นนะ ที่นั่นยังเหมือนเป็นกองบัญชาการที่ทรงพลังและรวบรวมยอดฝีมือไว้มากมาย หากเข้าไปฝึกตนที่นั่น จะได้รับประโยชน์มากมายอย่างแน่นอน ฉะนั้น…”
ทว่าจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่พลันนึกอันใดขึ้นได้ แล้วขัดจังหวะเขา
“หรงซิวอาจติดต่อกับสำนักนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
[1]การลับมีดมิได้เป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้ เป็นการอุปมาว่าใช้เวลาฝึกฝนจนชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำเพื่อทำให้การงานก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...