เว่ยซีผิงสะดุ้งโหยงในคราแรก แต่พอตั้งสติได้ เขาก็รีบปั้นหน้าบึ้งทันที
เขากัดฟันกรอด ไม่พูดไม่พอ ก่อนจะปล่อยลมปราณอันเย็นยะเยือกออกมารอบตัว
อุ้งมือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำแน่น
หรงซิว…
ตลอดสองสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ปล่อยให้ช่วงเวลานั้นสูญเปล่า แต่กลับขัดเกลาความแข็งแกร่งได้มากขึ้นขนาดนี้เชียว!?
นี่เขาทำเช่นนั้นได้อย่างใดกัน!?
…
และคำถามนี้ ก็ไม่ได้มีแค่เว่ยซีผิงคนเดียวที่สงสัย
หากแต่ยินชูหลี่เองก็ใคร่รู้เช่นกัน
เขาหรี่ตาเพ่งมองหรงซิวอย่างจับผิด ก่อนจะถามเน้นเสียงทีละคำ
“เจ้าได้…”
“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด”
เหมือนหรงซิวจะเดาความคิดของเขาได้ มุมปากของเจ้าตัวยกโค้งขึ้นเล็กน้อย พลันยกมือขึ้นแล้วโยนหอกโชตอัสนีกลับไป
“แต่แค่เอาชนะเจ้าได้ก็พอแล้ว”
ยินชูหลี่ยืนมือไปคว้าหอกโชตอัสนีไว้ พลางเบนสายตาไปมองหรงซิวพร้อมขมวดคิ้วด้วยความสับสนงงงวย
เขาสงสัยว่าหรงซิวได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุร่างศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ แต่หรงซิวกลับปฏิเสธ เช่นนั้นก็คงมิใช่อย่างที่เขาคิด
อย่างใดก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เมื่อครู่แล้ว มันกลับมีความเป็นไปได้อย่างมาก
ครานี้ช่องว่างระหว่างพวกเขาขยายกว้างขึ้นกว่าเดิมอีก!
เดิมทียินชูหลี่คิดว่าเขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งที่พากเพียรฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาตลอดหลายปีนี้ ลดช่องว่างระหว่างเขากับหรงซิวและแซงหน้าอีกฝ่ายได้!
แต่คิดไม่ถึงว่าในขณะที่เขากำลังเพิ่มทักษะให้ตัวเองนั้น หรงซิวกลับพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าเขาเสียอีก!
เขากำหอกโชตอัสนีแน่นแล้วหลุบตามองต่ำ
บนแผ่นอกของเขามีรอยเลือดไหลซึมออกมา
หากหรงซิวต้องการ เขาย่อมสามารถสังหารตนได้ในพริบตา!
ยินชูหลี่สูดหายใจเข้าลึกๆ
และพอเขาเงยหน้าขึ้นมองหรงซิวอีกครั้ง ความตื่นตระหนกและความหงุดหงิดในดวงตาของเขาก็มลายหายไป
“วันนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้ เช่นนั้นข้ายอมรับความพ่ายแพ้! แต่…สักวันหนึ่ง ข้าจักเอาชนะเจ้าให้ได้!”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น
ยินชูหลี่มักจะพูดแบบนี้ทุกครั้งหลังพ่ายแพ้ แต่เขาก็ชินกับมันแล้ว
แต่ทว่า เขาจะไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายเช่นนี้อีกแล้ว
…
การต่อสู้ของสองบุรุษที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว หากแต่ฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ด้านล่าง กลับยังเรียกสติคืนมาไม่ได้สักคน
จะ จบแล้วหรือ!?
ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาใช้เพียงหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!?
วิธีการทั้งหมดนั้นดูเรียบง่ายและอุกอาจมาก!
ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ หรงซิวแข็งแกร่งอย่างที่เดาไว้ไม่ผิด!
ไม่มีใครสบประมาทว่ายินชูหลี่ไม่แข็งแกร่งพอ
เพราะตลอดสองสามปีมานี้ ในบรรดาสามอันดับแรกของตารางจัดอันดับจอมยุทธ์ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยังฝึกฝนอยู่ในสำนักวิชา
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครกล้าท้าประลองกับเขา
ผู้แข็งแกร่งเหนือเทพในวัยยี่สิบห้าหนาว จะไปท้าประลองเขาแล้วชนะง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างใด!?
ราวกับเทพเซียนผู้มิอาจล้มได้!
หากแต่คนเช่นนี้ ครั้นตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของหรงซิวแล้ว กลับมิสามารถโต้ตอบได้แม้แต่ครั้งเดียว!
ความแข็งแกร่งของหรงซิว…ช่างยากที่จะจินตนาการได้!
…
“ศิษย์พี่หรงซิวนี่แข็งแกร่งจริงๆ! เขาตอบรับคำท้าจากศิษย์พี่ยินชูหลี่ง่ายๆ เช่นนั้นเลย!”
“ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า เขาเป็นอัจฉริยะลำดับต้นๆ ของสำนักวิชาในรอบหลายปี หากกล่าวว่าเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจก็ฟังดูไม่เกินจริง! ตอนแรกข้าคิดว่าพวกเขาคุยโวปั้นแต่งเรื่องขี้นมา แต่ใครจะรู้ว่า… หลังจากได้เห็นกับตา ข้าถึงเข้าใจทันทีว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องจริง!”
“น่าเสียดายที่ไม่กี่ปีมานี้ศิษย์พี่หรงซิวมิได้อยู่ในสำนัก จะพบกันทีหนึ่งก็ยาก ครั้งนี้เขาเองก็น่าจะพักอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน…”
“บุรุษเช่นนี้ เดามิออกเลยว่าแม่นางแบบใด จักครอบครองดวงใจของเขาได้…”
“ยังต้องถามอีกหรือ? แน่นอนว่าต้องเป็นเจียงจื่อหยวนอยู่แล้ว! เผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงของนางถือเป็นเผ่าในปกครองของพระราชวังเมฆาสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด และสองคนนั้นก็รู้จักกันมานานแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า เป็นหวานใจในวัยเด็กของกันและกันเลยก็ได้!”
“อ่า พวกเจ้ายังไม่รู้หรือ? ไม่นานมานี้ ศิษย์พี่หรงซิวเพิ่งจะแต่งตั้งพระชายาไปเอง!”
“กระไรนะ!?”
“ได้ยินมาว่าพระชายาผู้นั้นมาจากนอกพรมแดน…สรุปแล้วก็มิใช่เจียงจื่อหยวนผู้นั้นแต่อย่างใด…”
แม่นางหลายคนเริ่มซุบซิบนินทา
“คุณหนูหลัว? เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?”
นางควรจะอยู่ฝั่งจอมยุทธ์มิใช่หรือ ไฉนนางถึงมาอยู่ฝั่งเซียนหมอได้เล่า?
“เจ้า… มาหาข้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ถามอย่างลังเล
ปรางแก้มนวลเนียนของหลัวซือซือแดงปรั่ง ดวงตาของนางเปล่งประกายสดใสยามมองมาที่ฉู่หลิวเยว่
“ใช่แล้ว! ข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้า! ข้ายินดีด้วยที่เจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสวั่นเจิง! ข้าได้ยินว่ามาตราฐานของผู้อาวุโสวั่นเจิงสูงมาก แถมยังมีวิสัยทัศน์ที่สูงส่งอีก แต่ไม่กี่ปีมานี้เจ้ากลับเป็นคนเดียวที่ผ่านการทดสอบแล้วได้เป็นศิษย์ของเขา!”
ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มตอบ
“ขอบคุณเจ้ามาก ยินดีกับเจ้าด้วยเช่นกัน ส่วนอาจารย์ของเจ้าก็ น่าจะเป็นผู้อาวุโสเหวินซีใช่หรือไม่?”
“อื้อ!”
หลัวซือซือพยักหน้าตอบด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดๆ
ผู้อาวุโสเหวินซีเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสอันดับต้นๆ ของสำนัก อีกทั้งยังมีนิสัยใจคอดีมากๆ ด้วย
หลัวซือซือรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นลูกศิษย์ของเขา
“พี่เซิงเองก็ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเหวินซีเช่นเดียวกันกับข้า ส่วนพี่ห้าได้ผู้อาวุโสฮวาเฟิง เดิมทีเขาอยากเป็นศิษย์ของแม่นางเจ็ดเฉกเช่นพี่สี่ แต่ฝั่งแม่นางเจ็ดมีศิษย์ไปขอกราบเข้าสำนักเยอะมาก ดังนั้นพี่ห้าจึงเลือกผู้อาวุโสฮวาเฟิงแทน”
ความจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสทั้งสองนี้มิได้แตกต่างกันมากนัก ตราบใดที่พวกเขาตั้งใจฝึก เรียนกับผู้ใดย่อมมิต่าง
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“เช่นนั้นก็ดี ยินดีกับพวกเจ้าด้วย”
รอยยิ้มอันอ่อนโยน เรียวคิ้วและดวงตาอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง ช่างเป็นรอยยิ้มสดใดที่ทำให้ทุกอย่างรอบตัวดูจืดชืดไปทันตา
หลัวซือซือเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง พลันหน้าแดงเถือก
“คืนนี้พวกข้าจะไปฉลองกัน เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”
เมื่อหรงซิวปรายตามองดูภาพเบื้องล่าง เขาก็เห็นฉากนี้เข้าเสียเต็มตา
เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลากับแม่นางแสนสวยที่กำลังยืนคุยกัน
ใบหน้าของแม่นางแดงก่ำ ดวงตาของนางเป็นประกาย เผยให้เห็นความเขินอายและความสุขที่เล็ดลอดออกมา
ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังหรี่ตาลง ราวกับครุ่นคิดอันใดบางอย่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มหวานให้แม่นางผู้นั้น
หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกเบาๆ พลางแสยะยิ้มทีละนิด นัยน์ตาคมเริ่มปรากฏอายเย็นยะเยือก
เพิ่งมาถึงก็…มีสาวเข้ามาเกี้ยวพาราสีแล้วหรือ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...