เมื่อพวกของหลัวซือซือและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น ก็อดหันไปมองทางต้นเสียงไม่ได้
ผู้พูดคือชายหนุ่มอายุราวยี่สิบหกยี่สอบเจ็ดหนาว รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำตาลกร้านแดด ใบหน้าเหลี่ยมคมสัน และมีดวงตาที่เฉียบคม
“ศิษย์พี่โม่หร่าน เจ้าจะบอกว่าฉู่เยว่ผู้นั้นทำผิดกฎ จึงถูกขังไว้บนเขาเฝิงหมินอย่างนั้นหรือ?”
ใครบางคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ยามได้ยินนามปกรนี้ พวกของหลัวซือซือพลันตกใจจนพูดไม่ออก
โม่หร่าน…เจ้าของอันดับที่เก้าบนรายชื่อของจอมยุทธ์!
เขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ติดอันดับสูงสุดของสำนักวิชา!
ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่เขาพูดมาจึงค่อนข้างน่าเชื่อถืออย่างมาก
“ถูกต้อง”
ใบหน้าของโม่หร่านมิได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมามากมาย เขามองไปยังร่างสูงเพรียวที่อยู่ไกลออกไป พลันมีคลื่นความผันผวนผุดขึ้นในใจ
“เจ้าเด็กใหม่คนนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…”
แต่เขาเอ่ยประโยคนี้เบาๆ จึงไม่มีใครได้ยิน
ทว่าพอได้ยินคำยืนยันจากเขา ศิษย์ทุกคนก็เริ่มโหมโรงออกความเห็นกันให้ขวัก
“ทำผิดกฎหรือ? ฉู่เยว่นั่นเพิ่งเข้ามา แต่กล้าฝ่าฝืนกฎแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว! ไหนจะถูกผู้อาวุโสโอวหยางพามาที่นี่ด้วยตัวเองอีก…หรือว่าเขาไปก่อเรื่องที่ฝั่งช่างหลอมอาวุธมา?”
“ไม่น่าใช่กระมัง? คนส่วนใหญ่มิอาจเข้าไปที่นั่นตามใจชอบได้มิใช่หรือ? หากเข้ามาในสำนักวิชาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็น่าจะได้ยินคำเตือนจากผู้อาวุโสแล้วหนิ ว่าห้ามเข้าไปในเขตของช่างหลอมอาวุธโดยพลการ? และที่นั่นก็มีค่ายกลคุ้มกันอยู่ แล้วเขาจะเข้าไปได้อย่างใด?”
ทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ นัยน์ตาของพวกเขาพร่างพราวไปด้วยความตื่นเต้นที่มิอาจเก็บซ่อนไว้ได้
ปกติแล้วชีวิตในสำนักวิชานั้นจัดว่าเป็นชีวิตที่สงบและเรียบง่าย
แต่พอมีเรื่องที่ดูสุดยอดเช่นนี้เกิดขึ้น พวกเขาย่อมตื่นเต้นใคร่รู้ความจริงเสียให้ได้
“ศิษย์พี่โม่หร่าน?”
เสียงของแม่นางที่ฟังดูอ่อนโยนดังขึ้น
โม่หร่านหันไปมอง
ก่อนเห็นชายหนุ่มและแม่นางคู่หนึ่ง ซึ่งดูแล้วน่าจะอายุประมาณยี่สิบหนาว กำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
ดวงตาของพวกเขาแฝงไปด้วยความกังวล
“ศิษย์พี่โม่หร่าน ท่านพูดเช่นนี้…แปลว่าการถูกขังไว้บนเขาเฝิงหมิน ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ? แล้วเขาจะถูกขังนานหรือไม่?”
โม่หร่านมองไปที่คนทั้งสองอย่างใจเย็น
“จะถูกขังนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำผิดเรื่องใด ส่วนจะร้ายแรงหรือไม่…ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เขาเป็นศิษย์คนเดียวในสำนักวิชาที่โดนจับขัง”
พวกของหลัวซือซือมองหน้ากันทันที พร้อมขมวดคิ้วมุ่น
ไฉนถึงเป็นเช่นนี้?
ย้อนกลับไปตอนที่ฉู่หลิวเยว่ติดอยู่บนเขาหมื่นเมรัย พวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มของผู้อาวุโสเหวินซี ซึ่งตามหลักแล้ว หากพาฉู่เยว่กลับมาได้ก็น่าจะจบเรื่อง
แต่แล้วเหตุใดเขาถึงถูกสั่งขังโดยไร้เหตุผล?
หรือเป็นเพราะว่า…เขาอยู่บนเขาหมื่นเมรัยในช่วงเวลาต้องห้าม?
นอกเหนือจากนี้ พวกเขาก็คิดหาเหตุผลอื่นไม่ได้แล้วจริงๆ
แต่พวกเขาไม่สามารถพูดมันออกไปได้
เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสทั้งสองได้เตือนพวกเขาแล้วว่า ห้ามแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เด็ดขาด
แต่จู่ๆ จัวเซิงก็นึกอันใดขึ้นมาได้
“ว่าแต่ ผู้อาวุโสวั่นเจิงทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
…
ด้านหน้าของภูเขาเฝิงหมิน ร่างของฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสโอวหยางลอยตัวอยู่บนอากาศ
ทันทีที่พวกเขาหยุดนิ่ง ก็มีแส้เสียงที่ฟังดูโบราณดังมาจากภูเขา
“โอวหยางหรือ? เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?”
สุรเสียงอันทุ้มต่ำนี้ดังก้องขึ้นมาในรูหู เขย่าขวัญคนฟังให้สั่นสะท้าน แม้แต่พลังปราณดั้งเดิมในกายก็ยังพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน!
ฉู่หลิวเยว่แอบตกใจ
พลังปราณของเจ้าของวาจานั้น ต้องแข็งแกร่งกว่าที่นางจินตนาการไว้แน่ๆ!
“แล้วข้าจะมาทำอันใดที่นี่ได้อีก? แน่นอนว่าต้องมาส่งคนให้เจ้าน่ะสิ!”
ผู้อาวุโสโอวหยางค่อนแคะเบาๆ
“กักบริเวณเจ้าเด็กนี่ไว้บนเขาสิบวัน!”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าในความมืดมิดนั้น มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องมาที่ร่างของนางไม่หยุด!
ราวกับสามารถเปิดเผยตัวตนของนางได้ในพริบตา เสมือนถูกคนอื่นอ่านความคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!
นางเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดแรงกดดันที่มองไม่เห็นก็สลายไป
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเกือบจะขว้างขวดสุราในมือออกไป
“เจ้าสิบ้า! ข้าอุตส่าห์หวังดีรีบมาบอกเรื่องนี้กับเจ้า แล้วเจ้าจะด่าข้าเหตุใด!”
“หากศิษย์ของเจ้าถูกขังไว้ที่นั่น เจ้าจะยังใจเย็นได้หรือ!?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงพุ่งใส่เขาด้วยความโกรธ
“พูดมา! มันเกิดอันใดขึ้น! ถ้าไม่พูดความจริงแล้วหาเรื่องรังแกศิษย์ของวั่นเจิงผู้นี้ ข้าจะ…”
“เมื่อวานเด็กนั่นติดอยู่บนเขาหมื่นเมรัย!”
แค่ประโยคเดียวก็ถึงกับทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงไปต่อไม่ถูกแล้ว
“ความหมายว่าอย่างใด?”
“เหอะ ก็อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงจัดคอเสื้อให้ตรงและพูดอย่างเย็นชา
“ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อวานนี้เขายังบังเอิญเห็นตอนที่โอวหยางหลอมอาวุธด้วย! และเกือบจะเห็นทุกอย่างแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เจ้า เด็กคนนั้นได้ถูกขังบนเขาเฝิงหมินหนึ่งเดือนแน่!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงแทบหยุดหายใจ
เขาไม่เคยคิดเลยว่า แค่วันเดียวฉู่เยว่จะก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้เสียแล้ว!
“แต่…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงลังเล
เขาอยากจะแก้ตัวให้ฉู่หลิวเยว่สักนิด แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี
เพราะเรื่องนี้มันร้ายแรงมาก!
สำนักหลิงเซียวดำรงอยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาเป็นเวลานับพันปีแล้ว โดยมิอาจนับได้เลยว่าพวกเขาเปิดรับศิษย์มาแล้วกี่ร้อยกี่พันคน
และจนถึงตอนนี้ ในสำนักวิชาของพวกเขาก็มีลูกศิษย์อยู่ประมาณสามพันคนเห็นจะได้
ทว่าคนมากมายเพียงนี้ ไฉนกลับไม่มีใครทำผิดกฎเลย?
ในสำนักวิชามีวิธีการลงโทษที่หลากหลาย
และการถูกคุมขังในภูเขาเฝิงหมินนั้น เป็นหนึ่งในสามบทลงโทษที่รุนแรงที่สุด
หากไม่จำเป็นจริงๆ เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่อยากจะใช้วิธีนี้
และตอนนี้ กว่าเขาจะได้พบศิษย์ที่ถูกใจสักคนนั้นไม่ง่ายเลย แต่กลับต้องส่งศิษย์เข้าไปในนั้นแล้ว!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยิ้มแหย ก่อนจะเอ่ยปลอบประโลมว่า
“ไอ้หยา คิดดูให้ดีซิ! ตอนนั้นเจ้าเองก็อยากรับไอ้หนู เอ้ย คนผู้นั้นเป็นศิษย์เหมือนกันมิใช่หรือ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ แต่ดูตอนนี้สิ ฉู่เยว่เข้าสำนักมาได้สองวันก็ถูกขังบนเขาเฝิงหมินแล้ว อย่างน้อยเขาก็มีส่วนคล้ายคนผู้นั้นอยู่นะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...