เจ้านายและทาสคู่นี้ หนึ่งคนกับอีกหนึ่งสัตว์อสูร ช่างมีนิสัยเหมือนกันราวกับแกะเสียจริง
หลังจากที่รู้ว่านางกำลังจะไปบรรพตวั่นหลิงในวันนี้ พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงโวยวายขึ้นมา!
หากนางไม่ห้ามเอาไว้ เกรงว่าประตูบานนั้นคงถูกเสวียเสวี่ยข่วนจนพังเป็นแน่
ดูเหมือนเสวียเสวี่ยจะไม่พอใจเรื่องนี้มาก ทั้งลงไปกลิ้งกับพื้นและร้องโวยวายไม่หยุด
กว่าฉู่หลิวเยว่จะเกลี้ยกล่อมได้ก็เปลืองแรงและเวลาไปมากโข
สำหรับหรงซิว…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกหูร้อนวูบวาบ นางปิดเปลือกตาลง
มีผู้ที่ไร้ยางอายอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ!
“หลิวเยว่ ทำไมเจ้าหูแดงขนาดนี้”
มู่หงอวี๋ถามด้วยความแปลกใจ
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าพัลวัน
“เปล่า เมื่อครู่นี้ข้ารีบวิ่งมาเฉยๆ”
มู่หงอวี๋พยักหน้าอย่างเข้าใจและย่นจมูก
“เจ้านี่จริงๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าวันนี้ต้องรีบเดินทางตั้งแต่ไก่โห่ ทำไมถึงมาสายถึงเพียงนี้ได้ หากมาไม่ทันจริงๆ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ฉู่หลิวเยว่สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก มู่หงอวี๋จึงสบายใจ
ในขณะที่มู่หงอวี๋แนะนำสมาชิกในกลุ่ม ฉู่หลิวเยว่ก็ได้พบกับเลี่ยวจงซู เฉินหู่และกู้หมิงเฟิง
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามตามที่มู่หงอวี๋เคยกล่าวไว้ข้างต้น โดยเฉพาะกู้หมิงเฟิงที่ลมปราณกำลังผันผวนที่มีสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะบรรลุขั้น
มู่หงอวี๋ไปต่อแถวรอรับสิ่งของในฐานะหัวหน้ากลุ่ม
ซุนจ้งหยวนเป็นผู้นำและดูแลกิจกรรมที่จัดในครั้งนี้ ภายใต้การดูแลของเขายังมีผู้อาวุโสอีกหลายท่านพร้อมอาจารย์หลายสิบคนร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย
ซุนจ้งเหยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าไม่พูดจนกว่าทุกกลุ่มจะมารวมกันเรียบร้อย
“นักเรียนทุกคน ข้าเชื่อว่าทุกคนคงรอคอยการเดินทางไปบรรพตวั่นหลิงมาเนิ่นนานแล้ว โดยครั้งนี้มีข้าเป็นหัวหน้า นอกจากข้าแล้ว ทางสำนักเทียนลู่ยังส่งผู้อาวุโสอีกสามท่านมารับผิดชอบนักเรียนของตนเองในแต่ละรุ่น และภายใต้การกำกับดูแลของผู้อาวุโสทุกท่านจะมีอาจารย์อยู่ด้วยกันสิบคน อาจารย์ทุกท่านต้องรับผิดชอบนักเรียนสามกลุ่มย่อยด้วยกัน สิ่งของที่ให้พวกเจ้าเมื่อครู่นี้ มีกระบอกพุส่งสัญญาณ หากมีอันตรายเกิดขึ้นสามารถดึงมันออกมาส่งสัญญาณ”
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่กระบอกจิ๋วสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือในมือของนาง โดยมีเชือกสองเส้นห้อยลงมา
“ดึงเชือกเส้นแรก หมายถึงหากเผชิญอันตรายถึงแก่ชีวิต อาจารย์จะไปช่วยพวกเจ้า หากดึงออกมาทั้งสองเส้น ผู้อาวุโสของสำนักจะรีบระบุตำแหน่งแล้วไปช่วยชีวิตพวกเจ้าทันที!”
ซุนจ้งเหยียนกล่าวอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เข้าใจกันหรือไม่”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
ซุนจ้งเหยียนหยุดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังกว่าเดิม
“บรรพตวั่นหลิงมีลักษณะเป็นเขาสูงชัน ในช่วงสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งจะยิ่งมีแต่ภัยอันตราย ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เสียชีวิตได้! ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าต้องการล่าสัตว์อสูรที่ต้องการครอบครองมากแค่ไหน อย่าลืมว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน!”
ทุกคนตอบรับพร้อมเพรียงกัน
“ศิษย์จะจำคำสอนเอาไว้!”
ซุนจ้งเหยียนพยักหน้าอย่างพอใจ
“เดินทางได้!”
…
ด้วยจำนวนคนมากมาย ทั้งยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเดินทางเท้าเป็นธรรมดา
โชคดีที่นักเรียนสำนักล้วนมีสมรรถภาพที่แข็งแรงดี ดังนั้นความเร็วในการเดินก็ไม่ช้าจนเกินไป
ประกอบกับมีเพื่อนร่วมทางมากมายจึงทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะตลอดทาง
เหล่ารุ่นพี่หนุ่มสาวบางคนที่เคยไป มักจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างล่าสัตว์อสูรเมื่อปีสองปีก่อนให้รุ่นน้องหน้าใหม่ฟัง ยิ่งทำให้อยากรู้อยากเห็นมากขึ้น
“หากข้าบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สี่ได้แล้วก็คงจะดี”
มู่หงอวี๋เดินไปพลางบ่นไปพลาง
ช่วงนี้นางฝึกฝนอย่างหนัก จนกระทั่งสัมผัสถึงเพดานที่จะทะลวงด่านได้แล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเหมือนมีบางอย่างที่ทำให้ผ่านไปไม่ได้สักที
เดิมทีนางวางแผนว่าหากสามารถบรรลุขั้นได้อย่างราบรื่น เมื่อพลังของนางเพิ่มระดับมากขึ้นก็จะสามารถล่าสัตว์อสูรที่ดีกว่าและน่าพึงพอใจกว่าในเทศกาลล่าสัตว์อสูรคลุ้มคลั่งครั้งนี้ได้
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นางคงไม่มีหวังแล้วล่ะ
“หงอวี๋ อย่ารีบร้อนเรื่องฝึกยุทธ์ไปเลย” เลี่ยวจงซูเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์