เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1291

หลังจากวันนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ใช้ชีวิตอยู่บนเขาจิ่วเหิงอย่างเชื่อฟัง

แต่ไม่รู้เหตุใดพี่เป่าถึงไม่ยอมมาหานางเลย

ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าเขาไปไหน และไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาเขาที่ใด นางทำได้เพียงปล่อยวางและฝึกฝนอยูในที่ของตนต่อไป

บางครั้งก็ศึกษาค่ายกลที่พี่เป่าทิ้งไว้ให้ บางครั้งก็หันไปศึกษาตำราปรมาจารย์โอสถของผู้อาวุโสวั่นเจิง

เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดว่าการฝึกศาสตร์สองแขนงนี้จะต้องเค้นมันสมองและใช้พลังปราณอย่างมาก และด้วยความแข็งแกร่งของนางในปัจจุบัน มันคงยากที่จะทำเช่นนั้นได้

แต่ไม่นาน นางก็พบว่าความจริงมันต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง

พอได้ศึกษามันจริงๆ แล้ว มันกลับไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด

ทว่าบางครั้ง… นางก็รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้

ประหนึ่งว่าเมื่อก่อน… นางก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว

แต่ฉู่หลิวเยว่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ และฝึกฝนต่อไปตามปกติ

สิ่งเดียวที่นางเป็นห่วงก็คือถวนจื่อ

ทั้งๆ ที่ครบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ถวนจื่อก็ยังไม่ออกมา

แถมยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ของมันในตอนนี้เป็นอย่างใดแล้ว

ถ้าอิงจากที่อินทรีสามตาเคยพูดไว้ ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ควรจะเพียงพอต่อการกระตุ้นพลังแห่งสายเลือดของถวนจื่อแล้ว

และสิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลยิ่งกว่า ก็คือเรื่องที่พวกเขายืดกำหนดการเปิดเขาหมื่นเมรัยออกไปหลายต่อหลายครั้ง

ศิษย์ในสำนักหลายคนเองก็สับสนงุนงงเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่ถามความเจาะลึกให้เสียเวลา

สำหรับพวกเขา เขาหมื่นเมรัยเป็นเพียงที่ซ่องสุมเพื่อความสำราญใจในบางครั้งเท่านั้น

ถึงจะปิดไปหนึ่งเดือน สามเดือนหรือห้าเดือน มันก็ไม่สงผลกระทบอันใดต่อพวกเขา

แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

นางพยายามค้นหาข่าวคราวของเขาหมื่นเมรัยอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์

กระทั่งท้ายที่สุด เพราะกลัวว่าความสงสัยนั้นอาจนำพามาซึ่งเรื่องร้ายแรง นางจึงเลือกที่จะเงียบและรอต่อไป

ตอนนี้การไม่มีข่าวอันใด อาจเป็นข่าวดีที่สุดก็ได้…

ยามนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รอเรื่องกำหนดการเปิดเขาหมื่นเมรัยแล้ว แต่นางกำลังรอใครบางคนอยู่

…ซั่งอวี้เซิน

และทันทีที่นางเห็นเขาเดินเข้ามา ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขามาเพราะเรื่องอันใด

“คารวะท่านผู้อาวุโส”

ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าแล้วประสานหมัดทำความเคารพ

ซั่งอวี้เซินเหลือบมองค่ายกลของภูเขาจิ่วเหิงที่อยู่ด้านหลังนาง และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า

“หรงซิวนี่ดูแลเจ้าดีจริงๆ ไม่เพียงแต่พาเจ้าขึ้นไปบนเขาหมื่นเมรัย แต่ยังยอมให้เจ้ามาพักอยู่ที่นี่ด้วยกันอีก”

เขายักไหล่เบาๆ

“เจ้าควรรู้ว่า แม้แต่พวกข้ายังไม่เคยได้สิทธิ์นี้เลยด้วยซ้ำ”

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางและถามต่อ

“ท่านมาเพื่อสิ่งนี้หรือขอรับ?”

ซั่งอวี้เซินหัวเราะเยาะ

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดตรงกว่าข้าอีก! ตัดตรงเข้าประเด็นเสียเร็วเชียว!”

“เมื่อก่อนท่านช่วยเหลือศิษย์ไว้มาก หากในเวลาแบบนี้ศิษย์พูดอ้อมค้อมกับท่าน คงดูไม่จริงใจเท่าใดนัก?”

ซั่งอวี้เซินชอบใจในคำพูดของฉู่หลิวเยว่มาก

“เอาล่ะ! เช่นนั้นพวกเราก็เลิกพูดพร่ำทำเพลง แล้วไปกันเถอะ!”

ฉู่หลวิเยว่ผงะราวตกใจ

“ไปไหนหรือขอรับ?”

ซั่งอวี้เซินมองด้วยความฉงน

“ก็ต้องไปถิ่นที่ข้าอยู่สิ! เจ้าคงไม่คิดจะแสดงมันให้ข้าดูตรงนี้หรอกใช่หรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่เองก็คิดแบบนั้น

อย่างใดเสียมันก็เป็นถึงสมบัติหายาก นอกจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักแล้ว ก็ไม่ศิษย์คนใดในสำนักรู้เรื่องนี้สักคน

ซั่งอวี้เซินต้องการสังเกตและศึกษามัน ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยและซ่อนเร้นจากสายตาคนนอก

ซึ่งไปถิ่นเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับคำ

แต่คำพูดของซั่งอวี้เซินทำให้นางอดแปลกใจไม่ได้

“ท่าน… มิได้ประจำอยู่ที่สำนักวิชาหรอกหรือ?”

ซั่งอวี้เซินพยักหน้า

“ใช่แล้ว! ปกติข้าจะอยู่ที่นี่แค่ปีละสองเดือน ทว่าปีนี้พิเศษหน่อย โชคดีที่ข้าทะลวงได้ทันเวลาก่อนกำหนดปิดด่าน ข้าถึงอยู่ที่นี่ต่อได้จนตอนนี้”

ฉู่หลิวเยว่ทำตาโตขึ้นมาทันที

เท่าที่นางรู้มา ส่วนใหญ่ผู้อาวุโสในสำนักวิชาจะพักอาศัยอยู่ในสำนักตลอดทั้งปี

ส่วนผู้ที่อยู่ในสำนักเพียงปีละสองเดือนอย่างซั่งอวี้เซินนั้น… นางยังไม่เคยเห็นสักคน

และเหมือนว่าซั่งอวี้เซินจะสัมผัสได้ว่านางสงสัย พลันหลุดหัวเราะออกมา

“ไยเจ้าถึงตกใจปานนั้น? ข้ามิใช่ผู้อาวุโสประจำสำนักวิชาเสียหน่อย แน่นอนว่าข้าย่อมอยู่ที่นี่นานไม่ได้”

ยามนี้ฉู่หลิวเยว่ตกใจกว่าเดิมเสียอีก

“ทะ ท่านมิใช่ผู้อาวุโสประจำสำนักหรือขอรับ?”

“ใช่”

ซั่งอวี้เซินเหาะเหินไปข้างหน้าและร่อนลง ตามมาด้วยฉู่หลิวเยว่

“ข้าเป็นคนของตระกูลซั่งจากตำหนักฮ้วนเทียน สามารถดำรงตำแหน่ง ‘ผู้อาวุโส’ ในนามของสำนักเช่นนี้ได้ ก็หาดูได้ยากมากแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนจากตระกูลชั้นหนึ่งคนอื่นๆ แม้แต่ตำแหน่งเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้”

มันเป็นประโยคสั้นๆ ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมายเหลือคณา

ฉู่หลิวเยว่รีบคิดตามสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาทันที

ตำหนักฮ้วนเทียนนั้นเหมือนกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ ซึ่งเป็นตระกูลชนชั้นหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่

และลูกหลานที่เกิดในตระกูลเช่นนั้น สามารถเข้าเรียนที่สำนักหลิงเซียวได้ แต่พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ได้

“สำนักหลิงเซียวตั้งกฎนี้ขึ้นมาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งสำนัก และยังคงเป็นเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะเหตุนี้สำนักวิชาถึงสามารถถือตัวเป็นกลางในอาณาจักรเสิ่นสวี่ได้ และรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ๆ และรักษาสมดุลกับสำนักวิชาอื่นๆ ไว้ได้เช่นกัน”

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“แล้วที่ท่านมาเป็นผู้อาวุโสได้ เพราะโดดเด่นกว่าผู้อื่นหรือ?”

ซั่งอวี้เซินหัวเราะ

“เจ้าคิดผิดแล้ว! เหตุผลที่ข้ามาเป็นผู้อาวุโสชั่วคราวของสำนักได้ ก็เพราะว่าครั้งหนึ่ง… ข้าเคยช่วยลูกศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักไว้น่ะสิ!”

ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระรัวทันที!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์