หลังจากวันนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ใช้ชีวิตอยู่บนเขาจิ่วเหิงอย่างเชื่อฟัง
แต่ไม่รู้เหตุใดพี่เป่าถึงไม่ยอมมาหานางเลย
ฉู่หลิวเยว่ไม่รู้ว่าเขาไปไหน และไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาเขาที่ใด นางทำได้เพียงปล่อยวางและฝึกฝนอยูในที่ของตนต่อไป
บางครั้งก็ศึกษาค่ายกลที่พี่เป่าทิ้งไว้ให้ บางครั้งก็หันไปศึกษาตำราปรมาจารย์โอสถของผู้อาวุโสวั่นเจิง
เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดว่าการฝึกศาสตร์สองแขนงนี้จะต้องเค้นมันสมองและใช้พลังปราณอย่างมาก และด้วยความแข็งแกร่งของนางในปัจจุบัน มันคงยากที่จะทำเช่นนั้นได้
แต่ไม่นาน นางก็พบว่าความจริงมันต่างจากที่นางคิดไว้โดยสิ้นเชิง
พอได้ศึกษามันจริงๆ แล้ว มันกลับไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด
ทว่าบางครั้ง… นางก็รู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้
ประหนึ่งว่าเมื่อก่อน… นางก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็เก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ และฝึกฝนต่อไปตามปกติ
สิ่งเดียวที่นางเป็นห่วงก็คือถวนจื่อ
ทั้งๆ ที่ครบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ถวนจื่อก็ยังไม่ออกมา
แถมยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ของมันในตอนนี้เป็นอย่างใดแล้ว
ถ้าอิงจากที่อินทรีสามตาเคยพูดไว้ ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ควรจะเพียงพอต่อการกระตุ้นพลังแห่งสายเลือดของถวนจื่อแล้ว
และสิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลยิ่งกว่า ก็คือเรื่องที่พวกเขายืดกำหนดการเปิดเขาหมื่นเมรัยออกไปหลายต่อหลายครั้ง
ศิษย์ในสำนักหลายคนเองก็สับสนงุนงงเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่ถามความเจาะลึกให้เสียเวลา
สำหรับพวกเขา เขาหมื่นเมรัยเป็นเพียงที่ซ่องสุมเพื่อความสำราญใจในบางครั้งเท่านั้น
ถึงจะปิดไปหนึ่งเดือน สามเดือนหรือห้าเดือน มันก็ไม่สงผลกระทบอันใดต่อพวกเขา
แต่ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
นางพยายามค้นหาข่าวคราวของเขาหมื่นเมรัยอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์
กระทั่งท้ายที่สุด เพราะกลัวว่าความสงสัยนั้นอาจนำพามาซึ่งเรื่องร้ายแรง นางจึงเลือกที่จะเงียบและรอต่อไป
ตอนนี้การไม่มีข่าวอันใด อาจเป็นข่าวดีที่สุดก็ได้…
…
ยามนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รอเรื่องกำหนดการเปิดเขาหมื่นเมรัยแล้ว แต่นางกำลังรอใครบางคนอยู่
…ซั่งอวี้เซิน
และทันทีที่นางเห็นเขาเดินเข้ามา ฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขามาเพราะเรื่องอันใด
“คารวะท่านผู้อาวุโส”
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าแล้วประสานหมัดทำความเคารพ
ซั่งอวี้เซินเหลือบมองค่ายกลของภูเขาจิ่วเหิงที่อยู่ด้านหลังนาง และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า
“หรงซิวนี่ดูแลเจ้าดีจริงๆ ไม่เพียงแต่พาเจ้าขึ้นไปบนเขาหมื่นเมรัย แต่ยังยอมให้เจ้ามาพักอยู่ที่นี่ด้วยกันอีก”
เขายักไหล่เบาๆ
“เจ้าควรรู้ว่า แม้แต่พวกข้ายังไม่เคยได้สิทธิ์นี้เลยด้วยซ้ำ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบางและถามต่อ
“ท่านมาเพื่อสิ่งนี้หรือขอรับ?”
ซั่งอวี้เซินหัวเราะเยาะ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพูดตรงกว่าข้าอีก! ตัดตรงเข้าประเด็นเสียเร็วเชียว!”
“เมื่อก่อนท่านช่วยเหลือศิษย์ไว้มาก หากในเวลาแบบนี้ศิษย์พูดอ้อมค้อมกับท่าน คงดูไม่จริงใจเท่าใดนัก?”
ซั่งอวี้เซินชอบใจในคำพูดของฉู่หลิวเยว่มาก
“เอาล่ะ! เช่นนั้นพวกเราก็เลิกพูดพร่ำทำเพลง แล้วไปกันเถอะ!”
ฉู่หลวิเยว่ผงะราวตกใจ
“ไปไหนหรือขอรับ?”
ซั่งอวี้เซินมองด้วยความฉงน
“ก็ต้องไปถิ่นที่ข้าอยู่สิ! เจ้าคงไม่คิดจะแสดงมันให้ข้าดูตรงนี้หรอกใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เองก็คิดแบบนั้น
อย่างใดเสียมันก็เป็นถึงสมบัติหายาก นอกจากเหล่าผู้อาวุโสในสำนักแล้ว ก็ไม่ศิษย์คนใดในสำนักรู้เรื่องนี้สักคน
ซั่งอวี้เซินต้องการสังเกตและศึกษามัน ดังนั้นเขาจึงต้องเลือกสถานที่ที่ปลอดภัยและซ่อนเร้นจากสายตาคนนอก
ซึ่งไปถิ่นเขาน่ะ ดีที่สุดแล้ว
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับคำ
แต่คำพูดของซั่งอวี้เซินทำให้นางอดแปลกใจไม่ได้
“ท่าน… มิได้ประจำอยู่ที่สำนักวิชาหรอกหรือ?”
ซั่งอวี้เซินพยักหน้า
“ใช่แล้ว! ปกติข้าจะอยู่ที่นี่แค่ปีละสองเดือน ทว่าปีนี้พิเศษหน่อย โชคดีที่ข้าทะลวงได้ทันเวลาก่อนกำหนดปิดด่าน ข้าถึงอยู่ที่นี่ต่อได้จนตอนนี้”
ฉู่หลิวเยว่ทำตาโตขึ้นมาทันที
เท่าที่นางรู้มา ส่วนใหญ่ผู้อาวุโสในสำนักวิชาจะพักอาศัยอยู่ในสำนักตลอดทั้งปี
ส่วนผู้ที่อยู่ในสำนักเพียงปีละสองเดือนอย่างซั่งอวี้เซินนั้น… นางยังไม่เคยเห็นสักคน
และเหมือนว่าซั่งอวี้เซินจะสัมผัสได้ว่านางสงสัย พลันหลุดหัวเราะออกมา
“ไยเจ้าถึงตกใจปานนั้น? ข้ามิใช่ผู้อาวุโสประจำสำนักวิชาเสียหน่อย แน่นอนว่าข้าย่อมอยู่ที่นี่นานไม่ได้”
ยามนี้ฉู่หลิวเยว่ตกใจกว่าเดิมเสียอีก
“ทะ ท่านมิใช่ผู้อาวุโสประจำสำนักหรือขอรับ?”
“ใช่”
ซั่งอวี้เซินเหาะเหินไปข้างหน้าและร่อนลง ตามมาด้วยฉู่หลิวเยว่
“ข้าเป็นคนของตระกูลซั่งจากตำหนักฮ้วนเทียน สามารถดำรงตำแหน่ง ‘ผู้อาวุโส’ ในนามของสำนักเช่นนี้ได้ ก็หาดูได้ยากมากแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนจากตระกูลชั้นหนึ่งคนอื่นๆ แม้แต่ตำแหน่งเช่นนี้คงเป็นไปไม่ได้”
มันเป็นประโยคสั้นๆ ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมายเหลือคณา
ฉู่หลิวเยว่รีบคิดตามสิ่งที่เขาพูด ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาทันที
ตำหนักฮ้วนเทียนนั้นเหมือนกับพระราชวังเมฆาสวรรค์ ซึ่งเป็นตระกูลชนชั้นหนึ่งในอาณาจักรเสิ่นซวี่
และลูกหลานที่เกิดในตระกูลเช่นนั้น สามารถเข้าเรียนที่สำนักหลิงเซียวได้ แต่พวกเขาไม่สามารถเป็นผู้อาวุโสของที่นี่ได้
“สำนักหลิงเซียวตั้งกฎนี้ขึ้นมาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งสำนัก และยังคงเป็นเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะเหตุนี้สำนักวิชาถึงสามารถถือตัวเป็นกลางในอาณาจักรเสิ่นสวี่ได้ และรักษาความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่ๆ และรักษาสมดุลกับสำนักวิชาอื่นๆ ไว้ได้เช่นกัน”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“แล้วที่ท่านมาเป็นผู้อาวุโสได้ เพราะโดดเด่นกว่าผู้อื่นหรือ?”
ซั่งอวี้เซินหัวเราะ
“เจ้าคิดผิดแล้ว! เหตุผลที่ข้ามาเป็นผู้อาวุโสชั่วคราวของสำนักได้ ก็เพราะว่าครั้งหนึ่ง… ข้าเคยช่วยลูกศิษย์คนโปรดของเจ้าสำนักไว้น่ะสิ!”
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นระรัวทันที!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...