ความคิดของฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไป นางเพิ่งจะคิดได้ว่า ดูเหมือนร่างกายขององค์ชายเจ็ดหรงซิวไม่แข็งแรงจึงออกจากเมืองหลวงตั้งแต่เยาว์วัยจะเป็นเรื่องจริง หลายปีที่ผ่านมาเพิ่งกลับวังเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น
แม้แต่ในสายตาของขุนนางราชสำนักก็แทบจะไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนขององค์ชายเจ็ดหรงซิวเลย แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าของร่างเดิมที่อยู่แต่ในเรือนตลอดปีตลอดชาติและเป็นคนอ่อนแอมักถูกผู้อื่นรังแกเช่นนี้กันเล่า
ในความทรงจำของร่างเดิมนั้นแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายเจ็ดหรงซิวเลย ดังนั้นฉู่หลิวเยว่จึงไม่ได้ฉุกคิดถึงเรื่องที่เขาไม่ได้อยู่เมืองหลวงตั้งแต่แรก
“แต่สองวันนี้มีข่าวจริงดั่งว่า องค์ชายเจ็ดกำลังจะกลับมาแล้ว…เยว่เอ๋อร์ ลูกบอกว่าก่อนหน้านี้บังเอิญเจอองค์ชายเจ็ดที่ป่านอกเมืองใช่หรือไม่” ฉู่หนิงถามอย่างสงสัย
ฉู่หลิวเว่แอบโล่งใจและไหลไปตามน้ำ
“เจ้าค่ะ ตอนนั้นลูกก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอพระองค์ตอนกำลังเสด็จกลับมาพอดี”
“มิน่าล่ะ…ดูท่าองค์ชายเจ็ดคงกลับมาแล้วจริงๆ แต่ว่าที่เมืองหลวงยังไม่มีข่าวใดเลยนี่นา…”
ฉู่หนิงขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ก็มิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ถึงอย่างไรไม่ว่าคนในราชวงศ์จะพูดหรือทำอะไรต่างก็มีเหตุผลของพวกเขาเองทั้งนั้น
อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้อยู่ในราชสำนักอีกต่อไปแล้ว ห่างไกลการแก่งแย่งชิงดีมานาน ขบคิดต่อไปก็ไร้ความหมาย
เขาลูบหัวเยว่เอ๋อร์ด้วยความรักและสงสาร
“คราวนี้เราเป็นหนี้บุญคุณองค์ชายเจ็ดแล้ว หากมีโอกาส พ่อต้องขอบพระทัยต่อหน้าพระองค์แน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่คิดร้ายในใจ บุญคุณใดกัน นางเป็นฝ่ายถือวิสาสะไปแช่น้ำในทะเลสาบคลื่นมรกตของเขาครู่หนึ่งมิใช่หรือ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของฉู่หนิง นางก็ไม่อธิบายให้มากความอีก จากนั้นจึงเบี่ยงประเด็นไปที่ยาซึ่งกำลังเคี่ยวกรำอยู่
“ท่านพ่อ นี่ข้าต้มตามสูตรยาในนั้น มันบอกว่าดีต่อแผลเก่าหลายปี ท่านพ่อลองดูสิเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่พูดพลางตักยาใส่ถ้วย จากนั้นเปิดกล่องหยกที่อยู่ด้านข้าง นำรากไม้สีแดงเข้มที่มีความยาวหนึ่งคืบขนาดความหนาเท่าหัวแม่มือออกมา นางออกแรงบีบมันจนน้ำสีแดงเข้มไหลหยดลงไปในถ้วยยานั้น
หลังจากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ยื่นถ้วยยานั้นให้ฉู่หนิง
ฉู่หลิวเยว่ก้มหน้ากะพริบตามองยาสีแดงอ่อนๆ แล้วเกิดความไม่แน่ใจเล็กน้อย
“เยว่เอ๋อร์ นี่มัน…มันจะได้ผลจริงๆ หรือ”
แน่นอน ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าเขากังวลเรื่องอะไร คนที่ไม่รู้ความอะไรเลยที่เพิ่งลองต้มยาเองเป็นครั้งแรก เป็นใครก็ไม่ไว้ใจกันทั้งนั้น
อย่าว่าแต่หวังให้มันได้ผลเลย ขอแค่มันไม่มีพิษก็บุญหนักหนาแล้ว!
นางมิอาจบอกตัวตนที่แท้จริงของนางให้ฉู่หนิงรับรู้ได้ แล้วก็มิอาจบอกได้ว่านางไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บเรื้อรังหลายปีของเขาตั้งแต่แรก และทำได้เพียงให้เขาลองดูไปก่อนเท่านั้น
“เยว่เอ๋อร์ตั้งใจทำตามตำราแพทย์…”
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังอธิบายอยู่นั้น ฉู่หนิงก็รับถ้วยยาในมือนางไปเสียแล้ว
เขาหัวเราะแล้วเอ่ยว่า
“ในเมื่อเยว่เอ๋อร์ลำบากต้มยาให้พ่อแล้ว เช่นนั้นพ่อก็จะไม่ทำร้ายน้ำใจของเยว่เอ๋อร์!”
เขาพูดพลางยกถ้วยยาขึ้นดื่มจนหมดเกลี้ยง
เมื่อดื่มยาหมดแล้วเขายังคว่ำถ้วยเปล่าให้ฉู่หลิวเยว่ดูอีกด้วย
“ดูสิ พ่อยอมดื่มจนหมดเลย!”
คนทั้งใต้หล้าคิดจะทำร้ายเขา แต่เยว่เอ๋อร์ไม่มีวัน!
แม้เขาไม่แน่ใจว่ายาถ้วยนี้ของเยว่เอ๋อร์จะมีผลอย่างไร กระนั้นเขาก็ยินดีที่จะดื่มด้วยความเต็มใจ
เพราะว่านี่คือบุตรสาวที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจ!
ฉู่หลิงเยว่ชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสเบิกบานบนในหน้าของฉู่หนิง นางจึงเอ่ยถามคำถามนี้โดยไม่รู้ตัว
“เยว่เอ๋อร์เพิ่งลองเป็นครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ท่านพ่อไม่กลัวหรือว่าถ้าดื่มยาถ้วยนี้ไปแล้วจะ…”
“ยามนี้ก็นับว่าลูกมีประสบการณ์แล้วมิใช่หรือ มีพ่ออยู่ทั้งคน เยว่เอ๋อร์ไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดทั้งนั้น ลูกอยากทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกถึงกระแสน้ำอุ่นไหลรินหัวใจ พลันรู้สึกเหมือนอบอุ่นขึ้นมาทันที
ในอดีตชาติ นางถูกทรยศหักหลังอย่างเจ็บปวดเข้ากระดูก ราวกับว่าหัวใจของนางได้ถูกแช่แข็งไปจนหมดสิ้นแล้ว แม้กระทั่งเลือดและกระดูกก็แข็งตัวไม่มีเหลือ
แต่ทว่าตอนนี้ เมื่อมองดูรอยยิ้มเอ็นดูของฉู่หนิง ทันใดนั้นก็ทำให้หัวใจของนางกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
นางก้มหน้าซ่อนน้ำตา เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เอ่ยปากพูดอีกครั้ง
“ท่านพ่อต้องหายดีแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฉู่หนิงอึ้ง แต่ก็ได้ยินนางพูดอีกประโยคอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“สักวันหนึ่งในอนาคต ท่านพ่อจะต้องกลับมาเก่งดังเดิม แล้วก็จะยิ่งเก่งขึ้นไปอีก!”
ฉู่หนิงหัวเราะขมขื่นในใจ
เก่งกว่าเมื่อก่อนหรือ
ขาของเขามัน…ไม่มีทางรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่สามารถบรรลุขั้นขึ้นไปได้อีก ทุกอย่างเหมือนจะพูดง่ายไปหรือไม่
แต่เขาก็ไม่ใจแข็งพอที่จะพูดเรื่องนี้ทำร้ายจิตใจบุตรสาว เขากลับยิ้มแล้วหยิกแก้มฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะเอ่ยถาม
“จริงสิ เงินที่นำไปซื้อยาพวกนี้…”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์