เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1306

ก่อนหน้านี้นางเคยพยายามมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ล้มเหลว

ทว่านางไม่เคยยอมแพ้ แม้ทุกครั้งที่ลองทำมันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเพียงน้อยนิด แต่นางก็ยังไม่ย่อท้อ

หากแต่เพราะจดจ่ออยู่กับค่ายกลเป็นเวลานาน ทำให้สภาพจิตใจของฉู่หลิวเยว่ตึงเครียดเกินไป และการศึกษาค่ายกลนั้นทำให้นางสูญเสียพลังปราณและความแข็งแกร่งไปมาก ดังนั้นฉู่เยว่จึงอ่อนเพลียและง่วงนอนมากๆ ดวงตากลมแดงก่ำใคร่จะปิดตานอนอยู่รอมร่อ

ทว่าสัญญาณและแรงกระแทกกระทั้นคล้ายจะแตกสลาย กลับกระตุ้นให้นางได้ตื่นเต็มตา!

ทั่วทั้งห้องเงียบกริบจนฉู่หลิวเยว่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักดังชัดเจน

เสียงไหลเวียนของโลหิตดังอื้ออึงอยู่ในรูหู

มือเรียวสั่นระริก

ด้วยระดับของนางในตอนนี้ มันยากมากที่จะสร้างค่ายกลรูปแบบนี้ออกมาได้

พลังปราณในกายถูกดึงออกมาใช้อย่างบ้าคลั่ง ทัศนวิสัยตรงหน้าเริ่มเลือนลางจนแทบจะกลายเป็นสีดำ เสมือนนางกำลังจะสลบไสลในอีกไม่กี่นาที

แต่นางยังใจสู้และมุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จ ดวงตากลมโตแวววาวราวกับหยกเนื้อดีทอแสงเจิดจ้า ประหนึ่งมีเปลวไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตาคู่นั้น!

ในที่สุด ปลายนิ้วเรียวก็ตวัดวาดเส้นโค้งสุดท้ายจนเสร็จ

ค่ายกลตรงหน้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

หึ่ง!

คลื่นพลังปราณอันเจือจางแผ่กระจายออกมาค่ายกลจิ๋ว!

ฉู่หลิวเยว่หอบหายใจหนักจนทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง ลมปราณหอมๆ ที่เจือปนด้วยกลิ่นคาวเลือดไหลลอดออกมาจากริมฝีปากและไรฟันของนาง

นางฝืนกลืนเลือดลงคอ แล้วปรับลมปราณอย่างรวดเร็ว พลันกระตุ้นพละกำลังในกายอีกครั้ง

นางลอกลายได้สำเร็จ แต่ก็สำเร็จเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ถ้าต้องการแยกค่ายกลนี้อย่างสมบูรณ์ ก็ยังมีขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำอยู่อีก และจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด!

ฉู่หลิวเยว่เพ่งจิตไปที่การดึงพลังปราณทั้งหมดในกายมาได้บนฝ่ามือ แล้วถ่ายเทลงไปในค่ายกลที่อยู่ตรงหน้านาง!

กลุ่มแสงที่อยู่ด้านบนพลันสุกสกาวขึ้นกว่าเดิม!

คลื่นความผันผวนของมัน แผ่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!

แต่พลังปราณของนางก็ใกล้จะหมดลงทุกที

…การพยายามลอกลายซ้ำๆ ก่อนหน้านี้ทำให้นางสูญเสียความแข็งแกร่งไปมาก และตอนนี้ก็ถึงคราวที่นางจะหมดพลังแล้วจริงๆ

ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และสุดท้ายนางก็ดึงเอาพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ที่เก็บไว้ในไข่มุกธาราออกมา!

ลมปราณอันรุนแรงพุ่งทะลักออกมาจากกายบาง!

ฝ่ามือของฉู่หลิวเยว่ส่องแสงเจิดจ้า!

ขณะที่พลังปราณศักดิ์สิทธิ์กำลังถูกกลืนกิน ค่ายกลจิ๋วที่อยู่ตรงหน้านางก็ขยายใหญ่ขึ้นจนสูงถึงเอวแล้ว!

มันคือค่ายกลแปดเหลี่ยม

ลำแสงด้านบนตวัดเกี่ยวพันก่อเกิดลวดลายที่ซับซ้อน

คนธรรมดาอาจรู้สึกเวียนหัวเมื่อเห็นลวดลายของมัน และเมื่อมองนานๆ ก็อาจถึงขั้นเป็นลมเป็นแล้งเลยทีเดียว

ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจ พลันยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า แล้วค่อยๆ วางมือทาบลงตรงกลางค่ายกล

หึ่ง!

ขณะเดียวกันค่ายกลบนพื้นก็ส่องแสงวาววับ หัวใจของนางพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณบางอย่างที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน!

มันคือค่ายกลโปร่งแสงที่เปล่งประกายงดงาม หากแต่มีช่องว่างเล็กๆ อยู่ตรงกลาง

ฉู่หลิวเยว่มั่นใจในทันทีว่านั่นคือกุญแจสำคัญในการถอดรหัสค่ายกลนี่!

นางกดมือลงไปเบาๆ แล้วดันค่ายกลจิ๋วที่ตนสร้างขึ้นเข้าไปในช่องว่างตรงกลางของค่ายกลดังกล่าว

กึก!

ค่ายกลทั้งสองผสานกันอย่างลงตัว!

และหายวับไปในพริบตา!

แสงสว่างภายในห้องค่อยๆ จางหาย

ฉู่หลิวเยว่จับยึดที่วางแขนเก้าอี้แล้วดันตัวลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

สถานการณ์ภายในห้องทั้งหมดกลับคืนสู่ภาพเดิม

ค่ายกลที่ขังนางไว้เนิ่นนานหลายวันพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ฉู่หลิวเยว่ยืนนิ่งอยู่กับที่สักพัก ก่อนจะหยิบยาเม็ดออกมากิน

พลังปราณอันอบอุ่นหลั่งไหลเข้าสู่หลอดลมทันที

ความรู้สึกเหนื่อยล้าแสนสาหัสบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

นางเช็ดรอยเลือดที่ไหลเปื้อนมุมปากออก แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูสภาพของตนในกระจก

ในตอนนั้น ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้มากมายหลั่งไหลออกมา

ในความทรงจำเหล่านี้ไม่มีผู้คน ไม่มีสถานการณ์ใดๆ แต่มีเพียงค่ายกลและใบสั่งยาอันวิเลิศมาลัยเท่านั้น!

ซึ่งสิ่งที่ปรากฏออกมาเหล่านี้ ดูมีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

จิตสำนึกบอกนางว่า นางไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้มาก่อน

แต่เนื้อหาเหล่านี้กลับเด่นชัดอยู่ในใจนาง

จากความทรงจำที่แตกสลายเหล่านี้ เหมือนว่ามันจะทำให้ฉู่หลิวเยว่สังเกตเห็นบางสิ่งในอดีตที่นางลืมไปแล้ว

นางเบนสายตาและหันไปมองหอระฆังบูรพกษัตริย์ที่อยู่ไกลออกไป

มันทั้งสง่างาม องอาจ และเคร่งขรึม

นางเริ่มนึกถึงรายชื่อบนตารางจัดอันดังชิงอวิ๋นบนกำแพงสีดำของหอระฆัง

ปรากฎว่าเดิมทีนางก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชาและปรมาจารย์โอสถอยู่แล้ว

เพียงแต่ไม่รู้ว่า… นี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของนางหรือไม่?

ณ หุบเขาโอสถวาโย

ผู้อาวุโสเมิ้งเย่นอนเอนหลังพักผ่อนอย่างสบายใจ แต่ทันใดนั้นสองหูของเขาพลันกระตุกยิกๆ จนเขาต้องลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง

ก่อนจะเห็นร่างเล็กที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นไม่ไกล

เขาคือฉู่เยว่

ชายชราสบถเสียง “เหอะ” ออกมาเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง

“ฉู่เยว่ ไยวันนี้เจ้าถึงมาที่นี่? ข้าได้ยินว่าเจ้าป่วยเลยไม่ได้ไปบุพกาลชายแดนเหนือกับพวกปั๋วเหยี่ยน แล้วตอนนี้เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่หันมามองเขา พลันยิ้มแป้นใส่ผู้อาวุโสเมิ้งเย่

“ขอบพระคุณผู้อาวุโสเมิ้งเย่ที่เป็นห่วง ศิษย์ดีขึ้นแล้วขอรับ”

ผู้อาวุโสเมิ้งเย่รู้สึกโล่งใจขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเยาะสองทีแล้วโบกพัดสานไปมา พลางกล่าวว่า

“กระไรกัน พอดีขึ้นหน่อย ก็รีบวิ่งแจ้นมาเก็บสมุนไพรเลยหรือ?”

ดวงตากลมใสทอประกายวิบวับ นางเม้มปากแล้วยิ้มแหยราวเขินอาย

“ขอรับ ผู้อาวุโสเมิ้งเย่คงมิได้รำคาญศิษย์หรอกใช่หรือไม่ขอรับ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์