ความแข็งแกร่งทางกายภาพของฉู่หลิวเยว่นั้น ส่งผลให้นางกลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุด ท่ามกลางจอมยุทธ์ระดับเดียวกันหรือระดับสูงกว่านั้น
นางตอนนี้ได้ผ่านการฝึกฝนมานักต่อนัก จนสามารถรับมือกับการโจมตีของหุ่นเชิดระดับเก้าสองตัวพร้อมกันได้อย่างง่ายดาย
แต่สุดท้ายที่กล่าวมาทั้งหมดนั่น ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบศักยภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
หากแต่ยามนี้ ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เข้าใจคำเตือนของอินทรีสามตาแล้ว
ความทนทานของร่างกายสัตว์อสูรและมนุษย์นั้น ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
พลังแห่งสายเลือดในกายของถวนจื่อตื่นตัวขึ้นทีละน้อย ซึ่งอันตรายต่อนางมาก!
แม้ร่างกายของนางจะผ่านการฝึกฝนมามาก แต่หากจะให้รับมือกับพลังเหล่านี้ ก็คงจะฝืนขีดจำกัดเกินไป
ทั้งกล้ามเนื้อ โลหิตและกระดูกในกายเจ็บแปลบราวถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ พลังปราณอันดุร้ายและรุนแรงพุ่งเข้ามาราวกับสายน้ำที่พร้อมกวาดล้างทุกสิ่ง!
ฉู่หลิวเยว่อดทนสู้กับความทรมานจากพลังเหล่านี้ในกายของตน และลำเลียงพวกมันกลับคืนสู่ร่างของถวนจื่อ
ขณะเดียวกันนางก็ยังส่งกระแสจิตเรียกถวนจื่ออยู่เรื่อยๆ โดยหวังให้มันตื่นขึ้นมาในเร็วพลัน
แต่ผ่านไปแล้วหลายเพลา สุดท้ายถวนจื่อก็คงนอนนิ่งไม่ไหวติง
…
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเดินทางมายังเขาจิ่วเหิงพร้อมหลัวเยี่ยนหมิงอย่างรวดเร็ว
“ฉู่เยว่ล่ะ?”
จัวเซิงตอบกลับพัลวัน
“น่าจะอยู่ข้างในขอรับ! แต่สถานการณ์ในนั้นดูไม่ดีนัก…”
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่เขารออยู่ด้านนอก เกิดเสียงดังอึกทึกออกมาจากข้างในหลายครา
ยิ่งฟังเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงขมวดคิ้วและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
ระหว่างทางมาที่นี่ หลัวเยี่ยนหมิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว
“ข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย”
พวกของหลัวเยี่ยนหมิงเองก็ตั้งท่าจะตามเข้าไป แต่ก็ถูกผู้อาวุโสห้ามไว้ด้วยสายตา
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่”
หากด้านในเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ล่ะก็ พอสองคนนี้เข้าไปแล้วคงได้เป็นภาระเขาเปล่าๆ
เมื่อเห็นผู้อาวุโสฮวาเฟิงผู้ซึ่งใจดีและเป็นมิตรอยู่เสมอ แสดงท่าทีจริงจังเช่นนี้ เด็กหนุ่มทั้งสองจึงไม่กล้าโต้แย้ง และทำเพียงพยักหน้าน้อมรับแล้วยืนรออยู่ที่เดิม
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงยกมือขึ้น ก่อนจะหยิบตราหยกออกมาแล้ววางลงบนค่ายกลตรงหน้า
หึ่ง!
ค่ายกลขนาดใหญ่เปิดทางให้เขา
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสาวเท้าเข้าไปทันที!
…
“มีคนมา!”
อินทรีสามตาตะโกนใส่หูนาง
ก่อนหน้านี้สภาพจิตใจของฉู่หลิวเยว่ตึงเครียดอย่างหนัก นางจึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพวกหลัวเยี่ยนหมิง
แต่พอได้ยินคำพูดของอินทรีสามตา ในที่สุดนางก็ตั้งสติได้
“ใครกัน?”
โดยปกติแล้ว จะไม่มีใครสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตามใจชอบ
“เหมือนจะไม่ใช่หรงซิวนะ?”
เพราะถ้าเป็นเขา นางน่าจะสัมผัสได้แล้ว
“ไม่ใช่”
อินทรีสามตาตอบทันควัน
ฉู่หลิวเยว่กัดฟันกรอด
“เจ้า…”
“ผู้อาวุโสฮวาเฟิง ยามนี้ศิษย์ไม่มีเวลาอธิบายจริงๆ โปรดหลีกทางให้ศิษย์ด้วยขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่กระชับกอดถวนจื่อแน่นขึ้น แล้วรีบตอบกลับไป
พอเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ยิ่งสับสน และไม่กล้าทำอันใดฉุกละหุก เขาปล่อยมือจากแขนนาง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความกังวล
“เจ้าจะไปไหน? ถ้ากำลังผจญปัญหา ก็พูดออกมาเสีย! ข้าจะช่วยเจ้าหาทางแก้ไข!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะใกล้จะทนรับความเจ็บปวดจากพลังแห่งเลือดที่เพิ่มขึ้นในกายของถวนจื่อไม่ไหว นางคงจะอยู่พูดคุยกับเขาอีกสักสองสามคำ
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส!”
สิ้นคำ นางก็หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีไปทันที
“ไอหยา! เจ้าเด็กนี่!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเองก็ไม่สบายใจ
เพราะแค่มองก็รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับเด็กนั่นจริงๆ!
เขารีบย่ำเท้าตามนางไป
ฉู่หลิวเยว่สับเท้าอย่างไม่คิดชีวิต และมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งที่หมายมั่นไว้ในใจแล้ว!
เมื่อหลัวเยี่ยนหมิงกับจัวเซิงเห็นนาง ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาดักทางเพื่อหวังถามไถ่
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงวิ่งตามประกบมาไม่ห่าง
และในไม่ช้าเขาก็เริ่มเอะใจ
เพราะทิศทางที่ฉู่หลิวเยว่กำลังมุ่งไปนั้น คือสวนอสูร!
เมื่อมาถึงด้านหน้า ฉู่หลิวเยว่ก็มองหาผู้อาวุโสอวี๋อวี้ ราวมองหาผู้ช่วยชีวิต
“ผู้อาวุโสอวี๋อวี้ขอรับ! โปรดเปิดค่ายกล! ให้ศิษย์ยืมอสูรในสวนด้วยเถิด!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...