“ไม่ได้ ที่นั่นอันตรายมาก เจ้าจะไปได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสซุนปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
พรสวรรค์และความสามารถของซือถิงนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในตอนนี้เขาจะแข็งแกร่งพอ
ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับซือถิง เขาในฐานะอาจารย์จะทำเยี่ยงไร
ซือหยางอดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปใกล้และกระซิบกับเขาว่า
“พี่ใหญ่ พี่บ้าไปแล้วหรือ นั่นคือนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา สัตว์อสูรระดับเจ็ดเชียวนะ พี่ไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วหรือ”
เขาลังเลและมองไปรอบๆ ก่อนจะลดเสียงพูดลง
“เพื่อ…เพื่อผู้อื่น พี่มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเลยนี่นา! อีกอย่าง หากพี่ไปแล้ว ไม่แน่อาจจะเป็นภาระของผู้อาวุโสซุนก็ได้!”
ซือถิงยังคงยืนกรานหนักแน่น
“ซือฝุ เพราะที่นั่นอันตราย ศิษย์จึงต้องตามท่านไปด้วย ท่านเป็นอาจารย์ของศิษย์ ตอนนี้ไม่สมควรนิ่งดูดาย ถึงอย่างไร…ศิษย์ก็พอมีความสามารถ ท่านเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี เมื่อถึงคราวนั้น ศิษย์อาจจะพอช่วยเหลือท่านได้บ้างนะขอรับ”
ปกติซือถิงมักจะเป็นคนสุขุมไม่พูดจา แม้จะมีผลการเรียนดีเยี่ยม แต่เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ
นี่เป็นครั้งแรกที่คำพูดพวกนี้หลุดออกจากปากเขา ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสและอาจารย์ท่านอื่นอย่างอดมิได้
ซือหยางเหลือบมองเขา เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมซือถิงได้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
พี่ใหญ่เป็นคนที่เวลาทำสิ่งใดมักเด็ดเดี่ยวเสมอ เขาจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ถ้าบอกว่าจะไป เช่นนั้น…ก็จะไปให้ได้เด็ดขาด
คนอื่นไม่รู้สาเหตุ แต่เขากลับรู้ดี
ไม่ใช่เพราะคนคนนั้นอยู่ที่นั่นหรอกหรือ!
“เฮ้อ!”
ซือหยางถอนหายใจอย่างหนัก ก่อนจะก้าวออกไปให้พ้นสายตา
ผู้อาวุโสมองซือถิงด้วยความประหลาดใจ
“…เจ้าจะไปจริงๆ หรือ”
ซือถิงพยักหน้า
ผู้อาวุโสซุนเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา เขาก็ยอมตอบตกลงในที่สุด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ตามซือฝุมาด้วยกันเถิด!”
…
“ข้างนอกตรงนี้ น่าจะใช่ทางออกแล้วล่ะ”
เฉินหู่ทุบผนังถ้ำข้างหน้าเขา เขาปาดเหงื่อออกจากหน้าผากด้วยสีหน้าที่ดูแช่มชื่นขึ้นมาบ้าง
มู่หงอวี๋ก้าวไปข้างหน้า จากนั้น
ทุบผนังเหมือนที่เฉินหู่ทำก่อนจะแนบหูฟังอย่างใกล้ชิด
“เสียงดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้นิดหน่อย”
มู่หงอวี๋พูดอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“เฉินหู่ เจ้าแน่ใจจริงๆ หรือว่าข้างนอกนี้คือทางออก”
“แน่นอน! เมื่อก่อนตอนข้าอยู่บ้าน ข้าชอบตามท่านพ่อขึ้นเขา แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ข้าก็พอจะฟังเสียงมันออกนะ”
เฉินหู่ตบหน้าอกด้วยความภูมิใจในตัวเอง
“ถ้าทุบผนังถ้ำนี่ออกไปหนึ่งชั้นแล้วหากข้างนอกไม่ใช่ทางออก เจ้าต้องรับผิดชอบ!”
เมื่อเห็นว่าเขามีความมั่นใจมาก มู่หงอวี๋จึงเชื่อใจประมาณเจ็ดแปดส่วน จากนั้นนางก็หันไปมองกู้หมิงเฟิง
“เจ้ามาซิ”
กู้หมิงเฟิงพยักหน้า ส่งสัญญาณให้ทั้งสองถอยหลังไป
เขายืนอยู่หน้าผนังถ้ำ ถือค่ายกลนิลกาฬเอาไว้ในมือ
ทันทีที่ตั้งสมาธิมั่น พลังในร่างกายของเขาก็ถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลนิลกาฬ!
ฉับพลันมีแสงประกายรำไรปรากฏขึ้น
…นั่นคือสัญญาณว่ากระบวนค่ายกลกำลังจะเปิดออก!
บริเวณโดยรอบมืดมิดและเงียบสนิท แสงประกายกลายเป็นแสงเจิดจ้า
ดวงตาของคนทั้งสามจับจ้องไปที่ค่ายกลนิลกาฬ
ลูกหมีดิ้นขลุกขลักด้วยความกระสับกระส่าย มู่หงอวี๋รีบเอามือลูบหูและกอดมันแน่นขึ้น
ถ้ามีอะไรผิดพลาดในภายหลัง นางสามารถปกป้องมันได้
พลังของกู้หมิงเฟิงถ่ายเทเข้าไปในค่ายกลนิลกาฬอย่างต่อเนื่อง และแสงข้างบนนั้นก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ!
ในไม่ช้าโครงร่างของค่ายกลก็ปรากฏขึ้น!
แรงกดดันที่แอบแฝงค่อยๆ แพร่กระจายออกมาจากค่ายกล
เฉินหู่พึมพำเสียงต่ำ
“ไม่รู้ว่าตอนนี้ฉู่หลิวเยว่จะเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่หงอวี๋ใจกระตุกวูบ
อันที่จริง พวกเขาอยู่ตรงนี้ แม้ว่าพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวภายนอกอันเลือนราง แต่พวกเขาไม่สามารถเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง
ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกจะเป็นเช่นไร
นางระงับความกังวลใจและหายใจเข้าลึกๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์