เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1539

ด้านนอกเขาหมื่นเมรัย ภายใต้การจับจ้องของสายตานับไม่ถ้วน ค่ายกลกระสวยสวรรค์ปกคลุมไปทั่วยอดเขาสูงใหญ่โดยสมบูรณ์

เส้นโครงสีเงินทุกสายล่องลอยแผ่วเบาไร้สุ้มเสียง ผ่าแบ่งเอาเขาหมื่นเมรัยออกเป็นสองส่วนในชั่วพริบตา!

เกล็ดน้ำแข็งสีเลือดที่ปกคลุมทั่วยอดเขาเริ่มละลาย จากนั้นก็หยดร่วงลงสู่พื้นดิน

ฝูงชนต่างเฝ้ารอดูอย่างเงียบงัน ตาก็จ้องเขม็งไปยังบนตาน้ำที่อยู่บนยอดเขา

คลื่นน้ำกระเพื่อมไหว หากแต่ท้ายที่สุดแล้วก็มิได้บังเกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาแม้แต่นิด

อีกทั้งเงาร่างสองร่างที่พวกเขาต้องการพบก็ไม่โผล่ออกมาแม้แต่เงา

เวลาดูจะเคลื่อนผ่านไปอย่างยากเกินจะรับไหว

ประกายแสงส่องสว่างทะลุผ่านชั้นเมฆหนาสาดส่องลงบนผืนดิน

ทุกสิ่งทุกอย่างประหนึ่งถูกยกเอาผ้าแพรโปร่งสีดำออก เผยให้เห็นรูปร่างแต่เดิมของพวกมันออกมา

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเงื้อศีรษะขึ้นมองอย่างเหม่อลอยอยู่หลายส่วน

ฟ้าสว่างแล้ว

ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก

“ปั๋วเหยี่ยน เกล็ดน้ำแข็งที่ปกคลุมบนยอดเขารอบๆ ละลายหายไปหมดแล้ว”

สุ้มเสียงของผู้อาวุโสฮวาเฟิงฟังดูสั่นเครือไม่น้อย

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองตามสายตาของเขาไป กลับพบว่าภายใต้แรงกดดันมหาศาลของค่ายกลกระสวยสวรรค์ที่แผ่กระจายไปโดยรอบ มาบัดนี้กลับละลายหายไปจนหมดแล้ว

มีเพียงบนยอดเขาหมื่นเมรัยเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลือเกล็ดน้ำแข็งกระจัดกระจายอยู่บ้าง

รอบๆ ยอดเขาที่ตาน้ำตั้งอยู่ยังมีเกล็ดน้ำแข็งอยู่มาก หากแต่ดูแล้วก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน

ค่ายกลกระสวยสวรรค์ดูไปแล้วมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ก่อนจะเริ่มรวบรวมพลังจากโดยรอบทั้งหมดมาไว้ ณ ใจกลางเพื่อเตรียมจัดการกับเกล็ดน้ำแข็งส่วนที่เหลือ

ในตอนนั้นเอง เส้นโครงสีเงินเหล่านั้นจึงมาปกคลุมรวมตัวกันอยู่บนเขาหมื่นเมรัยเพียงที่เดียวแล้ว

ทว่า… เขาหมื่นเมรัยในตอนนี้อยู่ในสภาพหลุมบ่อย่ำแย่จนแทบจำเค้าลางไม่ได้แล้ว

มันมินับว่าเป็นเขาลูกหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ หากแต่เปลี่ยนไปเป็นก้อนหินขนาดมหึมาที่ถูกขัดเจียระไนไว้เสียมากกว่า

รูปทรงของมันบิดเบี้ยว ก่อให้เกิดเป็นรูปร่างประหลาดตา

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้คนตื่นตกใจยิ่งกว่าเก่าคือ จนกระทั่งตอนนี้ ก้อนหินที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ยังคงหมุนวนเชื่องช้าตามค่ายกลกระสวยสวรรค์อย่างต่อเนื่อง

เส้นโครงทุกสายดูไปแล้วสว่างเรืองรองจับตานัก ทว่ากลับแฝงไว้ซึ่งรังสีสังหารนับไม่ถ้วน!

พวกเขาล้วนรู้แจ้งแก่ใจดีว่าพลังของค่ายกลกระสวยสวรรค์อันนี้น่าหวาดหวั่นถึงเพียงใด!

ทันทีที่สัมผัสโดน มันก็จะจัดการบีบรัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างไว้มิให้มีโอกาสตอบโต้!

นั่นรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบที่อยู่ข้างในนั้นด้วย!

พื้นที่ที่บรรดาเกล็ดน้ำแข็งสีเลือดเหล่านั้นเหือดหายไปล้วนปรากฏเป็นพื้นที่สีดำไหม้เกรียม ดูแล้วไร้ซึ่งแววชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง

พอเห็นภาพได้เลยว่า หากคิดจะฟื้นฟูทุกสิ่งให้กลับมาอยู่ในรูปแบบเดิมต้องผลาญเวลาและแรงกำลังไปไม่รู้กี่มากน้อย

“นี่มัน… คือสิ่งใดกันแน่…”

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนจับจ้องเขม็งไปยังตาน้ำ อดไม่ได้ที่จะพึมพำเสียงต่ำออกมา

ราวกับว่าเพราะถูกค่ายกลกระสวยสวรรค์ยับยั้งเอาไว้ ใจกลางตาน้ำจึงมิมีน้ำพุหลั่งไหลออกมาอีก ทั้งฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสภาพแต่เดิม

ผิวน้ำมิอาจกระเพื่อม บริเวณรอบตาน้ำเองก็จับตัวแช่แข็งเป็นเกล็ด

ทว่าระหว่างที่ตาน้ำกำลังไหลทะลักก็ปรากฏเป็นผิวน้ำสีดำทมิฬลึก ทำให้มองไม่เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายใน

ก้อนหินสีเทาที่ถูกวางซ้อนทับกันเป็นชั้นที่ตั้งอยู่โดยรอบ บัดนี้เองก็ถูกพลังของค่ายกลกระสวยสวรรค์บีบรัดจนแตกกระเจิงกลายเป็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน

ภาพฉากนี้ทำให้ผู้คนที่ได้ยลมองต่างครุ่นคิดลึกล้ำ

เพราะว่าก้อนหินที่ล้อมรอบตาน้ำอยู่นั้นมีความพิเศษยิ่งนัก ถูกทัณฑ์สวรรค์ฟาดผ่าลงตั้งมาหลายปี ฟาดฟันรอยเอาไว้ด้านบนไม่น้อย หากแต่มิเคยถูกทำลายแม้แต่น้อย

มาบัดนี้ ยามอยู่ต่อหน้าค่ายกลกระสวยสวรรค์ กลับมิมีกระทั่งแรงที่จะใช้ดิ้นรนต่อต้านเลยด้วยซ้ำ

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าคนทั้งสองที่อยู่ภายในตาน้ำจะ…

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนวดหว่างคิ้วของตน รับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบขาดใจ

คนทั้งสองมีสถานะสำคัญอย่างยิ่งยวด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่เจ้าสำนักและบรรดาผู้อาวุโสมีต่อเด็กทั้งสองคนนั้นที่นับว่าไม่เลวเลยมาโดยตลอด

หากว่าเกิดขึ้นจริงละก็…

เขามิกล้าคิดไปมากกว่านี้แล้ว

หลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็เบนสายตามองไปทางผู้อาวุโสท่านอื่น

“ฮวาเฟิง วั่นเจิง แล้วก็โอวหยาง แล้วก็…”

เขายังคงเรียกชื่อผู้อาวุโสต่ออีกสองสามท่าน

ความจริงแล้ว แม้นตัวเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ทว่าร่างศักดิ์สิทธิ์หลับใหลยาวนานกว่าหมื่นปี ทั้งยังถูกพรากวิญญาณไป ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็รีบรุดตามสำนักหลิงเซียวมายังบุพกาลชายแดนเหนือด้วย

เดิมทีเขาก็มิได้ใส่ใจดูแลสภาพร่างกายตนเองมากนัก พละกำลังทั้งหมดจึงมิอาจเทียบได้กับจุดสูงสุดของชีวิตในปีนั้นได้

นี่เองจึงเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดผู้อาวุโสฮวาเฟิงถึงได้วิตกกังวลเรื่องเขาปานนั้น

เมื่อเห็นท่าทียืนกรานของซั่งกวนจิ้ง ริมฝีปากของผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็สั่นระริก ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไปเงียบๆ

“เข้าใจแล้ว หากท่านต้องการอันใด ขอแค่บอกก็เป็นอันใช้ได้”

เขากำหมัดแน่น

“พวกข้าจะอยู่รอไปกับท่าน”

ซั่งกวนจิ้งพยักหน้ารับ สุ้มเสียงทุ้มต่ำเจือความแหบพร่าน้อยๆ

“ขอบคุณมาก”

“เพ้อเจ้อกันจริงๆ”

ด้านข้างพลันแว่วเสียงเยาะเย้ยเย็นเยียบของอี้เหวินจั๋วดังขึ้นมา

“ค่ายกลกระสวยสวรรค์เปิดใช้งานเรียบร้อยแล้ว กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ยังมิอาจหลบหนีจากมันได้! ยังต้องพูดถึงสองคนนั้นอีกหรือ?”

เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าหรงซิงและซั่งกวนเยว่ต่างก็เป็นอัจฉริยะวัยเยาว์ที่อยู่อันดับต้นๆ ของคนรุ่นหลัง

อายุเท่านี้ก็สามารถบุกทะลวงกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงได้ ทั่วทั้งอาณาจักรเสิ่นซวี่เองก็มีนับคนได้

แต่นั่นแล้วอย่างใดเล่า?

ระดับเทพขั้นสูง ก็แค่ระดับเทพขั้นสูงเท่านั้น!

“เจ้า…”

ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ได้ยินประโยคนี้

“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากให้เจ้ามาใส่ใจเลย”

ซั่งกวนจิ้งดึงผู้อาวุโสฮวาเฟิงเบาๆ เป็นเชิงปราม สายตาเย็นเยียบปรายมองไปยังอี้เหวินจั๋ว

“ในเมื่อเจ้าไม่ใช่เจ้าสำนัก อำนาจส่วนใหญ่ในสำนักก็ไม่ได้อยู่ในมือเจ้า มันไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหรงซิวแล้วก็เยว่เออร์เลย พวกข้ายังไม่ทันพูดอันใดด้วยซ้ำ แล้วเจ้าถือสิทธิ์อันใดมาสอดปากพล่ามไปทั่วกัน?”

สีหน้าของอี้เหวินจั๋วพลันเย็นยะเยือกลงในพริบตา “เจ้า…”

“ก่อนหน้านี้ข้าเห็นแก่หน้าสำนักหลิงเซียวถึงได้ไว้หน้าเจ้าสามส่วน เจ้าอย่าคิดได้คืบจะเอาศอกเทียว!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์