……….
ทันทีที่สิ้นเสียง รอบข้างก็เงียบกริบโดยพลัน
หรงซิวมองมาที่นาง ดวงตาลึกล้ำ ราวกับมีระลอกคลื่นพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
ริมฝีปากบางของเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“หนังสือในพระราชวังเมฆาสวรรค์ได้เขียนถึงสงครามในครั้งนั้นอยู่ไม่น้อย แม้คนทั่วไปจะรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้น้อยมาก แต่ความจริงแล้วยังมีตำนานที่เกี่ยวข้อง และถูกจดบันทึกจนสืบต่อกันมา หากอยากจะรู้เรื่องเหล่านี้มันก็ไม่ได้ยาก”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ก็จริง
พระราชวังเมฆาสวรรค์ยืนหยัดอยู่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่มาเป็นเวลาหมื่นปี มีรากฐานลึกซึ้ง การที่จะรู้เรื่องเหล่านี้ก็ไม่แปลก
องค์ปฐมกษัตริย์รู้เรื่องเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้น้อยมาก นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนจากนอกพรมแดน
ซึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบภูมิหลังกับหรงซิวได้แน่นอน
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าอาณาเขตเซียนเทพเหล่านี้จะยังคงอยู่ แต่เวลาก็ผ่านมาหลายหมื่นปี เดิมทีแล้วพลังของมันก็เบาบางลงมาก ไม่อย่างนั้นพื้นที่เล็กขนาดนี้ ไม่มีทางที่อาณาเขตเซียนเทพจำนวนมากจะอยู่รวมตัวกันภายในเวลาเดียวกันได้อย่างแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินดังนั้นก็หยิบก้อนหินก้อนที่สองขึ้นมา
นางมองก้อนหินในมือก้อนนั้นอย่างละเอียด แล้วเม้มริมฝีปาก
คำพูดของหรงซิวสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
เมื่อครู่นี้ตอนที่นางแสดงอาณาเขตเซียนเทพออกมา นางก็สามารถสัมผัสได้ว่าไม่มีใครควบคุมอาณาเขตเซียนเทพเหล่านี้จริงๆ
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้…
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว สิ่งที่คงอยู่ในตอนนี้และที่แห่งนี้คือจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างนั้นหรือ?
แต่เหตุใดก้อนหินเหล่านี้ถึงติดตามนางมาอย่างไม่ทราบสาเหตุล่ะ?
ฉู่หลิวเยว่สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าก้อนหินทั้งสองก้อนนี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อนางเลยแม้แต่สักเสี้ยวเดียว
ในทางตรงกันข้าม เหมือนว่า… จะมีกลิ่นอายของความสนิทสนม ใกล้ชิด และพึ่งพาอยู่ด้วย
ความรู้สึกแบบนี้มันละเอียดอ่อนอย่างมาก
เมื่อครู่นี้จิตวิญญาณของฉู่หลิวเยว่ตึงเครียดอยู่ตลอด จึงไม่สามารถสัมผัสอันใดได้
แต่หลังจากที่นางรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่หลงเหลือจากสงครามในปีนั้น หัวใจของนางก็ผ่อนคลายลง จากนั้นก็เหมือนนางจะสามารถสัมผัสได้ว่า… มีอันใดบางอย่างผิดปกติไป
ในตอนที่นางกำลังคิดเรื่องนี้ ก้อนหินก้อนที่สามก็กลิ้งมาอยู่แทบเท้าของนางแล้ว
หลังจากนั้นไม่นานก็มีอาณาเขตเซียนเทพแห่งนี้ถ่ายเทลงไปในก้อนหินก้อนนั้น
ในตอนแรกนางรู้สึกตกใจและประหลาดใจ แต่จนถึงตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มรู้สึกเคยชินแล้ว
ตอนนี้นางอยากรู้เพียงแค่ว่า นางที่อยู่ในที่แห่งนี้กำลังรับบทบาทอันใดอยู่หรือ?
“ยังสามารถออกจากด้านบนได้อยู่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย
หรงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เมื่อครู่นี้ตอนที่พวกเราลงมา มิติเกิดความปั่นป่วน ต่อให้จะขึ้นไปตอนนี้ ก็น่าจะไม่ได้กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิม”
“เช่นนั้น…”
“พวกเรารอก่อนเถิด อีกประมาณหนึ่งชั่วยามรอให้ความปั่นป่วนเหล่านั้นสงบลงอีกครั้ง แล้วพวกเราค่อยออกไป น่าจะสะดวกขึ้นมากกว่าเดิม”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้แล้ว
หรงซิวหยิบไข่มุกประทีบเม็ดนั้นออกมาอีกครั้ง โดยมันลอยอยู่ข้างกายพวกเขาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นเขาก็หยิบเสื้อคลุมสีดำออกมาปูไว้ที่พื้น
“เจ้านั่งลงก่อนเถอะ”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้พวกเขาเร่งรีบเดินทางอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าระหว่างทางจะมีการหยุดพักอยู่หลายครั้ง แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้กับคนทั้งสอง ดังนั้นจึงออกเดินทางอย่างเต็มกำลังตลอดเวลา และสูญเสียพลังงานไปไม่น้อย
หลังจากเข้ามาในป่าวิญญาณสีชาดแล้ว พวกเขาก็ยังเดินทางอย่างรีบร้อนตลอดเวลา
ดังนั้นในตอนนี้ได้เวลาพักผ่อนและโคจรลมปราณก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่จับมือของเขาเอาไว้
“เจ้าเองก็มาพักก่อนเถอะ”
นางรู้ว่าช่วงนี้หรงซิวก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่เช่นกัน
ตอนกลางวันออกเดินทาง ตอนกลางคืนหลอมอาวุธ
เขาสิที่เป็นคนที่สูญเสียพลังไปมาก
เมื่อสัมผัสถึงฝ่ามือที่อบอุ่นอ่อนโยน หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าเจ้าก็ยังเป็นห่วงสามีอยู่เหมือนกัน”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้ชายคนนี้กลับหน้าหนามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
…
ทั้งสองคนรอให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เวลาหนึ่งชั่วยามไม่นับว่านาน แต่บริเวณโดยรอบเงียบงันไร้เสียง นอกจากพื้นที่เล็กๆ รอบกายของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นเลย เรื่องนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดระแวงอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...