เข้าสู่ระบบผ่าน

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1650

……….

“ท่านแน่ใจหรือ?”

ผู้อาวุโสอูเผิงถาม

“แน่นอน!”

หนานอวี่สิงตอบอย่างหนักแน่น

ถ้าไม่ได้ปลอมตัวมา ก็ไม่มีเหตุผลไหนที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้แล้ว เหตุใดเด็กหญิงอายุสามสี่ขวบถึงได้มีพลังกายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้!

ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ แต่เขาไม่เคยเจอใครที่ท้าทายกฎสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้

นางจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งปลอมตัวมาอย่างแน่นอน!

“ส่วนการปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันของนางนั้น นั่นต้องเป็นเพราะนางเคลื่อนกายย้ายร่างมาแน่นอน!”

ไม่อย่างนั้นแล้วละก็จะอธิบายเรื่องนี้อย่างใด?

ผู้อาวุโสอูเผิงได้ยินดังนั้น ก็หันไปสบตากับผู้อาวุโสไป๋ถง จากนั้นก็เห็นว่าในแววตาของเขามีความไม่เห็นด้วยปรากฏอยู่

“แต่ว่า… ตอนที่เด็กน้อยคนนั้นปรากฏตัวขึ้น กลับไม่มีความผันผวนของทางมิติและระลอกคลื่นพลังปราณดั้งเดิมเลย…”

ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเคลื่อนย้ายร่าง ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้แน่นอน

หนานอวี่สิงสะอึกไป สีหน้าดูย่ำแย่มากกว่าเดิม

“… ถ้าจะพูดเช่นนี้ การปรากฏตัวของเด็กคนนั้นมันไม่แปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือ?”

ผู้อาวุโสไป๋ถงพูดสวนขึ้นมาทันควัน

“ความจริงแล้วผู้เฒ่าอย่างข้ากลับรู้สึกว่า วิธีการที่เด็กสาวคนนั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนกับ… การปรากฏตัวของสัตว์อสูร”

โดยเฉพาะตอนที่เรียกสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตนเองออกมา ถึงสามารถปรากฏกายขึ้นมาอย่างไร้เสียงไร้ร่องรอยเช่นนี้

อีกทั้งพลังกายของสัตว์อสูรนั้นก็แข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอยู่แล้ว

“จะเป็นไปได้อย่างใด?”

หนานอวี่สิงรู้สึกว่าการคาดเดานี้ไร้สาระเป็นอย่างมาก

“บนโลกนี้มีเพียงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองชนิดเท่านั้นที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งต่อให้เป็นเช่นนั้น ตอนที่พวกเขาปรากฏกายขึ้นมา อย่างน้อยก็มีรูปร่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว จะมีรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างใด?”

ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างไม่พูดจา

นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดไม่ออก

นอกจากเรื่องนี้แล้ว การปรากฏกายของเด็กน้อยคนนั้น ความจริงแล้วก็เหมือนกับสัตว์อสูรมาก…

ทันใดนั้นหนานอีอีก็สาวเท้าก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว

“พี่ใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่พวกเราจะลงมือจริงๆ”

หนานอวี่สิงหันไปมองนางอย่างประหลาดใจ

“เหตุใดหรือ?”

หนานอีอีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย

“พี่ดูสิว่าแม่นางคนนั้นกำลังทำอันใดอยู่?”

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง

ทันใดนั้นเองสีหน้าของหนานอวี่สิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“นี่นางกำลังเตรียมตัวจะทะลวงด่าน?”

“ถูกต้อง อีกทั้ง… หากข้าเดาไม่ผิดละก็ นางคือปรมาจารย์ค่ายกล”

หนานอีอีกัดฟันแล้วพูดขึ้น

แม้ว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจะไกลกันมาก แต่หนานอีอีก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก

นางคาดเดาเอาไว้ว่า อีกฝ่ายก็ต้องทะลวงด่านในฐานะปรมาจารย์ค่ายกลอย่างแน่นอน!

“เพียงแต่ไม่รู้ว่านางนั้นเตรียมตัวจะทะลวงด่านระดับใดกันแน่”

“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ไม่ว่าอย่างใดหลังจากผ่านวันนี้ไป เรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเพียงภาพความฝัน!”

จะทะลวงด่านก็ดี!

ในเวลานี้นางจะต้องอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าผู้ชายที่อยู่ด้านข้างจะเป็นช่างหลอมอาวุธระดับราชา แต่เขาก็อยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น

เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้อย่างแน่นอน!

จะมีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าตอนนี้แล้วหรือ?

หนานอวี่สิงเหลือบสายตาไปมองผู้อาวุโสทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง

“ผู้อาวุโสไป๋ถง ผู้อาวุโสอูเผิง ครั้งนี้พวกท่านทั้งสองคงจะไม่เข้ามาขวางอีกใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสทั้งสองสบสายตากัน จากนั้นก็พยักหน้า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบจัดการให้เร็วหน่อยก็ดีเช่นกัน”

พวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าเดินทางมายังทิศทางที่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่อยู่

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบและโล่งกว้าง ป้ายหลุมศพที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่ว เดิมทีก็ไม่สามารถปกปิดเงาร่างของพวกเขาได้อยู่แล้ว

“เจ้าไม่สามารถยั่วให้ข้าโมโหได้หรอก ข้าไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเจ้า เห็นแก่หน้าของหนานอีฝาน ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่ว่า… ความอดทนของข้ามีจำกัด หากครั้งหน้ามายั่วโมโหข้าเช่นนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!

เพราะว่าหนานอีฝานคือบิดาของหนานอีอีและหนานอวี่สิง และเป็นท่านประมุขของพวกเขา!

พวกเขาทั้งหลายมองหน้ากันไปมา สามารถเห็นความตกใจและสงสัยในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ผู้ชายคนนี้… เหมือนว่าจะรู้ตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างดี

อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนว่าเขาจะมี… ฐานะไม่ธรรมดา!

ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เขาไม่มีทางเรียกชื่อของหนานอีฝานได้อย่างห้วนๆ แน่นอน!

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

สีหน้าของหนานอวี่สิงย่ำแย่เป็นอย่างมาก

ทันใดนั้นก็เหมือนว่าผู้อาวุโสไป๋ถงนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้

“…หรงซิว…หรงซิว…ช้าก่อน!”

ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมหันไปมองหรงซิวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

“เจ้าคือหรงซิว… โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์หรือ?”

ก่อนหน้านี้เขาได้ยินแม่นางคนนั้นเรียกชื่อของอีกฝ่ายมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอันใด

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คุ้นเคยกับหรงซิวและพระราชวังเมฆาสวรรค์ เขาไม่เคยเจอและไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเลย

ส่วนอีกด้านหนึ่ง บนโลกนี้มีคนชื่อซ้ำตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะนึกตัวตนของอีกฝ่ายออกทันทีที่พบหน้า

จนกระทั่งตอนที่หรงซิวพูดถึงชื่อของหนานอีฝานขึ้นมาด้วยตนเอง พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าเรื่องนี้มีอันใดบางอย่างผิดปกติ

หนานอวี่สิงหน้าเปลี่ยนสีไปมาหลายครั้ง สุดท้ายก็ปรากฏสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมา

“เหอะ โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์… น่าจะสุดยอดมากเลยสินะ? ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะของพวกเราแล้ว ก็ควรจะรีบคุกเข่าขอความเมตตาซะ!”

สำนักหรือตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่อาจจะมีความหวาดกลัวพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ใช่

ในเมื่อหรงซิวรู้ถึงฐานะของพวกเขาแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้

ถ้าเขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?

หรงซิวลูบจมูกของตนเองไปมา

ตอนนี้เขารู้สึกสงสารงหนานอีฝานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะให้กำเนิดทายาทที่ไร้สมองเช่นนี้ออกมาได้

เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วถามเสียงเบาขึ้นมาว่า

“ขนาดพูดเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่ยอมจากไปอีกหรือ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์