……….
“ท่านแน่ใจหรือ?”
ผู้อาวุโสอูเผิงถาม
“แน่นอน!”
หนานอวี่สิงตอบอย่างหนักแน่น
ถ้าไม่ได้ปลอมตัวมา ก็ไม่มีเหตุผลไหนที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้แล้ว เหตุใดเด็กหญิงอายุสามสี่ขวบถึงได้มีพลังกายที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้!
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ แต่เขาไม่เคยเจอใครที่ท้าทายกฎสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้
นางจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งปลอมตัวมาอย่างแน่นอน!
“ส่วนการปรากฏกายขึ้นอย่างกะทันหันของนางนั้น นั่นต้องเป็นเพราะนางเคลื่อนกายย้ายร่างมาแน่นอน!”
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็จะอธิบายเรื่องนี้อย่างใด?
ผู้อาวุโสอูเผิงได้ยินดังนั้น ก็หันไปสบตากับผู้อาวุโสไป๋ถง จากนั้นก็เห็นว่าในแววตาของเขามีความไม่เห็นด้วยปรากฏอยู่
“แต่ว่า… ตอนที่เด็กน้อยคนนั้นปรากฏตัวขึ้น กลับไม่มีความผันผวนของทางมิติและระลอกคลื่นพลังปราณดั้งเดิมเลย…”
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเคลื่อนย้ายร่าง ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้แน่นอน
หนานอวี่สิงสะอึกไป สีหน้าดูย่ำแย่มากกว่าเดิม
“… ถ้าจะพูดเช่นนี้ การปรากฏตัวของเด็กคนนั้นมันไม่แปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือ?”
ผู้อาวุโสไป๋ถงพูดสวนขึ้นมาทันควัน
“ความจริงแล้วผู้เฒ่าอย่างข้ากลับรู้สึกว่า วิธีการที่เด็กสาวคนนั้นปรากฏตัวขึ้นเหมือนกับ… การปรากฏตัวของสัตว์อสูร”
โดยเฉพาะตอนที่เรียกสัตว์อสูรในพันธสัญญาของตนเองออกมา ถึงสามารถปรากฏกายขึ้นมาอย่างไร้เสียงไร้ร่องรอยเช่นนี้
อีกทั้งพลังกายของสัตว์อสูรนั้นก็แข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปอยู่แล้ว
“จะเป็นไปได้อย่างใด?”
หนานอวี่สิงรู้สึกว่าการคาดเดานี้ไร้สาระเป็นอย่างมาก
“บนโลกนี้มีเพียงอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองชนิดเท่านั้นที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ อีกทั้งต่อให้เป็นเช่นนั้น ตอนที่พวกเขาปรากฏกายขึ้นมา อย่างน้อยก็มีรูปร่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว จะมีรูปร่างเป็นเด็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างใด?”
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านต่างไม่พูดจา
นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดไม่ออก
นอกจากเรื่องนี้แล้ว การปรากฏกายของเด็กน้อยคนนั้น ความจริงแล้วก็เหมือนกับสัตว์อสูรมาก…
ทันใดนั้นหนานอีอีก็สาวเท้าก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่พวกเราจะลงมือจริงๆ”
หนานอวี่สิงหันไปมองนางอย่างประหลาดใจ
“เหตุใดหรือ?”
หนานอีอีเชิดคางขึ้นเล็กน้อย
“พี่ดูสิว่าแม่นางคนนั้นกำลังทำอันใดอยู่?”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง
ทันใดนั้นเองสีหน้าของหนานอวี่สิงก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
“นี่นางกำลังเตรียมตัวจะทะลวงด่าน?”
“ถูกต้อง อีกทั้ง… หากข้าเดาไม่ผิดละก็ นางคือปรมาจารย์ค่ายกล”
หนานอีอีกัดฟันแล้วพูดขึ้น
แม้ว่าระยะห่างของทั้งสองฝ่ายจะไกลกันมาก แต่หนานอีอีก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก
นางคาดเดาเอาไว้ว่า อีกฝ่ายก็ต้องทะลวงด่านในฐานะปรมาจารย์ค่ายกลอย่างแน่นอน!
“เพียงแต่ไม่รู้ว่านางนั้นเตรียมตัวจะทะลวงด่านระดับใดกันแน่”
“นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ไม่ว่าอย่างใดหลังจากผ่านวันนี้ไป เรื่องเหล่านี้ก็จะกลายเป็นเพียงภาพความฝัน!”
จะทะลวงด่านก็ดี!
ในเวลานี้นางจะต้องอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าผู้ชายที่อยู่ด้านข้างจะเป็นช่างหลอมอาวุธระดับราชา แต่เขาก็อยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น
เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้อย่างแน่นอน!
จะมีโอกาสไหนที่ดีไปกว่าตอนนี้แล้วหรือ?
หนานอวี่สิงเหลือบสายตาไปมองผู้อาวุโสทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง
“ผู้อาวุโสไป๋ถง ผู้อาวุโสอูเผิง ครั้งนี้พวกท่านทั้งสองคงจะไม่เข้ามาขวางอีกใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสทั้งสองสบสายตากัน จากนั้นก็พยักหน้า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รีบจัดการให้เร็วหน่อยก็ดีเช่นกัน”
…
พวกเขาทั้งหลายมุ่งหน้าเดินทางมายังทิศทางที่หรงซิวและฉู่หลิวเยว่อยู่
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบและโล่งกว้าง ป้ายหลุมศพที่แตกหักกระจัดกระจายไปทั่ว เดิมทีก็ไม่สามารถปกปิดเงาร่างของพวกเขาได้อยู่แล้ว
“เจ้าไม่สามารถยั่วให้ข้าโมโหได้หรอก ข้าไม่ได้สนใจชีวิตของพวกเจ้า เห็นแก่หน้าของหนานอีฝาน ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่ว่า… ความอดทนของข้ามีจำกัด หากครั้งหน้ามายั่วโมโหข้าเช่นนี้อีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานอวี่สิงและคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที!
เพราะว่าหนานอีฝานคือบิดาของหนานอีอีและหนานอวี่สิง และเป็นท่านประมุขของพวกเขา!
พวกเขาทั้งหลายมองหน้ากันไปมา สามารถเห็นความตกใจและสงสัยในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
ผู้ชายคนนี้… เหมือนว่าจะรู้ตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างดี
อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนว่าเขาจะมี… ฐานะไม่ธรรมดา!
ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ เขาไม่มีทางเรียกชื่อของหนานอีฝานได้อย่างห้วนๆ แน่นอน!
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
สีหน้าของหนานอวี่สิงย่ำแย่เป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นก็เหมือนว่าผู้อาวุโสไป๋ถงนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้
“…หรงซิว…หรงซิว…ช้าก่อน!”
ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมหันไปมองหรงซิวด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าคือหรงซิว… โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์หรือ?”
ก่อนหน้านี้เขาได้ยินแม่นางคนนั้นเรียกชื่อของอีกฝ่ายมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอันใด
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้คุ้นเคยกับหรงซิวและพระราชวังเมฆาสวรรค์ เขาไม่เคยเจอและไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาเลย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง บนโลกนี้มีคนชื่อซ้ำตั้งมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะนึกตัวตนของอีกฝ่ายออกทันทีที่พบหน้า
จนกระทั่งตอนที่หรงซิวพูดถึงชื่อของหนานอีฝานขึ้นมาด้วยตนเอง พวกเขาถึงได้ตระหนักว่าเรื่องนี้มีอันใดบางอย่างผิดปกติ
หนานอวี่สิงหน้าเปลี่ยนสีไปมาหลายครั้ง สุดท้ายก็ปรากฏสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมา
“เหอะ โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์… น่าจะสุดยอดมากเลยสินะ? ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะของพวกเราแล้ว ก็ควรจะรีบคุกเข่าขอความเมตตาซะ!”
สำนักหรือตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่อาจจะมีความหวาดกลัวพระราชวังเมฆาสวรรค์ แต่พวกเขาไม่ใช่
ในเมื่อหรงซิวรู้ถึงฐานะของพวกเขาแล้ว ก็ยังกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้
ถ้าเขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?
หรงซิวลูบจมูกของตนเองไปมา
ตอนนี้เขารู้สึกสงสารงหนานอีฝานขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว คาดไม่ถึงว่าเขาจะให้กำเนิดทายาทที่ไร้สมองเช่นนี้ออกมาได้
เขาเงยหน้าขึ้นมอง แล้วถามเสียงเบาขึ้นมาว่า
“ขนาดพูดเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ยังไม่ยอมจากไปอีกหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...