ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1675

ฉู่หนิงกับฉู่หลิวเยว่สบตากันแวบหนึ่ง

ฉู่หลิวเยว่ปล่อยมือของเขาลง ก่อนจะถามว่า

”เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอันใดขึ้น?”

หรงซิวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

“ยังมิอาจยืนยันได้”

ระหว่างที่พูด ฉู่หนิงก็ยื่นมือไปหาเขาแล้ว

หรงซิววางนิ้วมือของตนทาบลงไปบนข้อมือของเขา

ทั้วทั้งสี่ทิศพลันเงียบสงัดไร้เสียง

หรงซิวถ่ายทอดลมปราณสายหนึ่งเข้าสู่ภายในร่างของฉู่หนิง

ลมปราณสายนี้ราวกับหินที่ถูกโยนลงบ่อน้ำลึก ไม่ช้าก็ซึมหายเข้าไปในร่างของฉู่หนิงอย่างไร้ร่องรอย

หว่างคิ้วของหรงซิวกระตุกกึก เขาเหลือบตาขึ้นมองฉู่หนิงแวบหนึ่ง

“ใต้เท้าฉู่หนิง ตอนนี้ระดับจอมยุทธ์ของท่านคือ…”

สีหน้าของฉู่หนิงอึมครึมลงโดยพลัน

“ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่ง ข้าได้รับบาดเจ็บหนัก หยวนตันเกือบถูกทำลาย ระดับจอมยุทธ์เองจึงร่วงลงไปที่ระดับหนึ่ง… บัดนี้ก็มิต่างอันใดจากเศษสวะไร้ค่า”

หลังจากถูกพาตัวออกมาจากแคว้นเย่าเฉิน เขาก็ได้พบเจอกับผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็รู้ว่าพลังอันน้อยนิดของตัวเองแท้จริงแล้วเทียบกับคนข้างนอกไม่ได้เลย

อีกทั้งในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งอีก…

เขาพูดออกมาเองด้วยความรู้สึกอับอายเต็มกลืนนัก

บัดนี้เยว่เออร์เติบโตมาเก่งกาจปานนี้ มองกลับกันเขากลับ…

ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

ร่วงลงไปอยู่ระดับหนึ่ง…

ก่อนหน้านี้ท่านพ่อต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตรายถึงขีดสุดอย่างแน่นอน

หรือว่าครานั้นเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้น จึงทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเช่นนี้?

สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ไวปานนี้ ดูอย่างใด… ก็ไม่เหมือนจอมยุทธ์ระดับหนึ่งธรรมดาเลยหนา…

หรงซิวปล่อยมือเขา หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า

“ตอนนี้ท่านสามารถอัญเชิญอาณาเขตเซียนเทพออกมาได้หรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้างน้อยๆ อย่างตื่นตะลึง

เหตุใดจู่ๆ หรงซิวถึงได้ถามออกมาเช่นนี้?

ท่านพ่อกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งแล้ว จะไปมีอาณาเขตเซียนเทพได้อย่างใดกัน?

ทว่าฉู่หนิงกลับมิได้ปฏิเสธไปทันที กลับกันเขาขมวดคิ้วน้อยๆ พลางเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักว่า

“… เหมือนกับ… สิ่งที่เยว่เออร์เรียกออกมาก่อนหน้านี้น่ะหรือ?”

หรงซิวพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”

หลังเงียบไปพักหนึ่ง ฉู่หนิงก็ผงกศีรษะรับ

“… เหมือนว่า… จะเคยเรียกออกมาสองครั้ง แต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่ามันคืออันใด ไม่นานมันก็สูญสลายหายไป”

เขาเอ่ยไปพลางเงื้อมือขึ้นอย่างลังเล

ประกายแสงสีน้ำเงินดุจผืนฟ้าพลันค่อยๆ ทะยานออกมา!

ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุกกึก!

… นี่กลับเป็นอาณาเขตเซียนเทพจริงๆ!

แม้นางจะเคยเห็นเรื่องราวเหตุการณ์ใหญ่โตมาไม่น้อย บัดนี้เมื่อได้เห็นภาพฉากนี้ก็ตื่นตะลึงจนตัวแข็งอยู่กับที่ มิอาจเรียกสติกลับคืนมาได้อยู่พักใหญ่

เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อครู่นี้ ท่านพ่อยังคงตกอยู่ในบรรยากาศเศร้าสร้อยที่ตนร่วงลงกลับไปเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาก็อัญเชิญเรียกเอาอาณาเขตเซียนเทพออกมาแล้ว…

ความแตกต่างชั่วพริบตาเช่นนี้ ใครกันจะรับไหวได้?

ฉู่หลิวเยว่รีบหลับตาปี๋ ยามลืมตามามองอีกครา อาณาเขตเซียนเทพก็ยังคลอเคลียอยู่ข้างกายของฉู่หนิงไม่เปลี่ยนแปลง หาได้สูญสลายไปไม่

ลำคอของนางตีบตัน กว่าจะเปิดปากพูดได้ก็ยากลำบากนัก

“นี่… นี่คือ… อาณาเขตเซียนเทพของท่านหรือท่านพ่อ?”

เสียงของฉู่หลิวเยว่แทบขาดห้วงยามเอ่ยปากพูดออกมา

ฉู่หนิงผงกศีรษะรับ

“เมื่อก่อนพ่อเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออันใด ยามที่เห็นเจ้ากับคนผู้นั้นประมือกันในวันนี้ถึงเพิ่งได้รู้ว่ามันคืออาณาเขตเซียนเทพ…”

ฉู่หนิงไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับสิ่งนี้จริงๆ

เมื่อก่อนยามที่พลังของเขาแตะถึงขีดสูงสุดก็เป็นถึงจอมยุทธ์ระดับห้าของแคว้นเย่าเฉิน

อีกทั้งด้วยพลังเช่นนี้ย่อมนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของทั่วทั้งแคว้นเย่าเฉินอย่างมิต้องสงสัย

ทว่าอาณาเขตเซียนเทพเป็นสิ่งที่จอมยุทธ์ระดับเก้าต้องบุกทะลวงบรรลุสู่จอมยุทธ์ระดับเทพอย่างราบรื่นจึงจะใช้ได้

เขาจะไปมีโอกาสรู้ถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างใดกัน?

อย่างมากที่สุดก็คือเห็นคำนี้ผ่านตาสองสามรอบจากบันทึกประวัติของแคว้นเพียงเท่านั้น

อีกทั้งสำหรับเขาแล้ว เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไกลตัวยิ่ง จะอย่างใดเขาก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งตนจะสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขายังเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่งเท่านั้น!

หากมิใช่เพราะวันนี้ได้เห็นด้วยตาเนื้อ เขาย่อมไม่มีทางนึกถึงตัวเองอย่างแน่นอน

เมื่อเห็นท่าทีมึนงงของฉู่หนิง ฉู่หลิวเยว่ก็อับจนคำพูด

นางพลันรู้สึกว่าต่อหน้าบิดาตน ตัวเองช่างดูไม่ได้เสียจริง

สามารถต่อสู้โดยมิสนระดับนับเป็นอันใดได้?

แล้วได้ทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เล่านับเป็นอันใดได้?

ท่านพ่อกลายเป็นจอมยุทธ์ระดับหนึ่ง แต่กลับมีอาณาเขตเซียนเทพในครอบครอง!

นี่มันเรื่องตลกแบบใดกัน?

ฉู่หลิวเยว่มิเข้าใจเลยจริงๆ

ก่อนหน้านี้มีแต่ผู้อื่นเรียกนางว่าเป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

มาบัดนี้นางรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับบิดาแล้ว นางไม่ใกล้เคียงกับคำชมนั้นเลยแม้แต่น้อย

เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่แปลกประหลาดออกไปของคนทั้งหลาย ตัวฉู่หนิงเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาบ้างแล้ว

“นี่มัน… จริงๆ แล้ว… ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ หลังได้รับบาดเจ็บจากครานั้น ตื่นมาอีกทีก็กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว…”

ตอนนั้นด้วยเพราะพลังของเขาร่วงลงสู่จุดต่ำสุดแลจมกับความเศร้าอยู่นาน จึงมิได้ครุ่นคิดเลยว่าของสิ่งนั้นคืออันใด

“เป็นอย่างที่คิดไว้เลย”

ทว่าดวงหน้าของหรงซิวกลับเผยสีหน้าโล่งใจออกมา ริมฝีปากบางยกขึ้นน้อยๆ

“ต้องขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าฉู่หนิงด้วยที่ได้รับโชคดีเช่นนี้”

“โชคดี?” ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงเปิดปากทวนคำพร้อมกัน

หรงซิวพยักหน้า

“หากเดามิผิดละก็ ใต้เท้าฉู่หนิงคงจะกลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะโดยบังเอิญ”

ฉู่หลิวเยว่พลันเผยสีหน้าตื่นตกใจ

ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ

เรื่องนี้นางเคยได้ยินมาก่อน

ตอนอยู่ในสำนักหลิงเซียวเมื่อหลายปีก่อน หลังนางบุกทะลวงเป็นจอมยุทธ์ระดับเทพได้แล้ว ก็เฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอยู่ตลอด

ทว่าเรื่องนี้ซับซ้อนนัก มีผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงจำนวนมากที่แม้จะก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นของระดับเทพไปได้ ก็ยังไร้ซึ่งหนทางจะหลอมร่างศักดิ์สิทธิ์ของตนเองขึ้นมา

ในตอนนั้นนางมิรู้เลยว่าร่างศักดิ์สิทธิ์แบบใดที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด ก็ดันไปเจอหอสมุดของสำนักหลิงเซียวเข้า

นางจำได้ว่าม้วนหนังสือโบราณเล่มหนึ่งได้บันทึกถึงเรื่องร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้เอาไว้

เจ้าสิ่งที่เรียกว่าร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะนี้เป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่งที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก

ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปจะมีร่างเนื้อแยกออกจากร่างศักดิ์สิทธิ์โดยสิ้นเชิง

ทว่าผู้ฝึกตนที่ครอบครองร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะจะเปลี่ยนร่างกายของตนให้กลายเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย

หรือก็คือว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ผู้ฝึกตนประเภทนี้จะมีร่างกายอยู่ร่างเดียวเท่านั้น

นี่นับว่าเป็นข้อเสียเปรียบหนึ่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนคนอื่นที่สามารถแยกร่างศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้

หากแต่ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะกลับมีข้อดีที่ผู้อื่นมิอาจหาเทียบได้… ร่างศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!

แค่เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก็สามารถทำการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างว่องไว!

ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองไปยังฉู่หนิง

ก่อนหน้านี้บนร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลน่ากลัวมากมายปานนั้น มิอาจพูดได้ว่ามิสาหัส ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆ บาดแผลเหล่านั้นกลับฟื้นฟูเรียบร้อยดีแล้ว กระทั่งรอยแผลยังยากจะมองเห็นได้!

นี่… ก็คือร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะหรือ?

“… แต่ตอนนี้ท่านพ่อเป็นแค่จอมยุทธ์ระดับหนึ่ง เหตุใดถึงได้…”

หรงซิวหัวเราะออกมา ก่อนจะอธิบายว่า

“ใต้เท้าฉู่หนิงมิได้บุกทะลวงการฝึกตนด้วยตัวเอง หากแต่โชคดีได้ร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พละกำลังแต่เดิมของเขาเข้ากันไม่ได้กับสิ่งนี้ ดังนั้นข้าเลยคิดว่า ตอนที่เขากำลังได้รับร่างศักดิ์สิทธิ์อมตะ มันได้ทำการปรับพลังของเขาให้ลดลงเหลือเพียงจอมยุทธ์ระดับหนึ่งให้สะดวกแก่การเริ่มฝึกตนใหม่อีกรอบหนึ่ง”

“อีกอย่าง ระดับชีพจรดั้งเดิมของใต้เท้าฉู่หนิงเองก็ถูกเปลี่ยนเป็นชีพจรเทียนจิงแล้วด้วย”

หรงซิวพูดพลางเชิดคางขึ้น

“เจ้าลองจับชีพจรด้วยตัวเองดูก็จะรู้”

ความจริงฉู่หลิวเยว่เชื่อเรื่องที่เขาพูดอยู่แล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวรุดหน้าเข้าไปจับชีพจรของฉู่หนิง

ทันใดนั้น นางก็ปล่อยมือของเขาพร้อมสีหน้าตกใจ

สายตาที่

ฉู่หนิงกับฉู่หลิวเยว่สบตากันแวบหนึ่ง

บทที่ 1677 บิดาผู้แหกกฎฟ้า 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์