……….
สุ้มเสียงของฉู่หลิวเยว่ขาดห้วงลงฉับพลัน นางตวัดสายตาขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว!
ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำพอดี พระอาทิตย์ยามค่ำกำลังลับขอบฟ้าฟากประจิม
รัศมีเส้นโค้งสุดท้ายค่อยๆ ซ่อนหายไปในแผ่นเมฆหนาเป็นชั้น สีส้มอุ่นตาแผ่ขยายไปทั่วผืนฟ้าราวกับเคลือบทั่วท้องนภาให้ฉาบไปด้วยทองคำ
สำหรับภายในสุสานสังหารเทพแล้ว ภาพฉากที่สว่างเรืองรองเช่นนี้ช่างหาดูได้ยากโดยแท้
ทว่าภายใต้ที่แห่งนี้ ตำแหน่งที่เชื่อมฟ้าดินเข้าด้วยกันกลับถูกอันใดบางอย่างฉาบทับเป็นเงาจางไว้ชั้นหนึ่ง
กระทั่งแสงสว่างยามตะวันตกดินยังมิอาจส่องแสงทะลุผ่านมันออกมาได้
ยามมองดูจากที่ไกลๆ แล้ว ราวกับแผ่นสีดำที่ก่อตัวอยู่นานแฝงไว้ซึ่งไอลมปราณชวนเย็นยะเยือก
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ พบว่าแผ่นสีดำผืนนั้นกำลังแผ่ขยายออกอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยังเหมือนว่าสุ้มเสียงก้องกัมปนาทเมื่อครู่เองก็ดังมาจากฟากนั้นด้วย
จะบอกว่าเป็นเสียงอัสนีบาตฟาดผ่าก็ฟังไม่ค่อยเหมือนนัก
ระยะทางห่างไกลกันปานนี้ จึงได้ยินเพียงเลือนราง ไม่ชัดเจนเท่าไร
“นั่นมัน… คือสิ่งใดกัน?”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วน้อยๆ
ลมปราณสายนี้… ให้ความรู้สึกผิดปกติอยู่ไม่น้อยจริงๆ
ฉู่หนิงตอบทันควัน
“นั่นคือกำแพง”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตื่นตะลึง นางหันศีรษะไปมองเขา
“กำแพง?”
ฉู่หนิงผงกศีรษะ สองตาจ้องแผ่นสีดำที่อยู่ไกลออกไปเขม็งด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยเห็นกำแพงนี้อยู่สองครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม”
พูดไปพลาง ฉู่หนิงก็ยกมือขึ้นมาชี้ไปยังสองฟากของแผ่นสีดำ
“กำแพงนี่เริ่มจากด้านนี้ขยายยาวไปจนถึงอีกด้าน ในระยะเวลาครึ่งก้านธูป มันก็เข้ายึดครองเนื้อที่ทั้งหมดในเส้นแนวนอนตามระยะสายตาของพวกเราได้แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่มองตามทางที่นิ้วเขาชี้ พบว่าผืนแผ่นสีดำกำลังแผ่ขยายออกไปทางสองด้านด้วยความว่องไวอยู่จริงๆ
ตอนนั้นเอง นางก็มองเห็นลักษณะของกำแพงชั้นนั้นได้รางๆ แล้ว
มันเคลือบสีดำทั้งแนว ใหญ่โตน่าเกรงขาม สูงใหญ่จนมิอาจเอื้อมถึง
แม้นยังมิทันได้เข้าใกล้ นางก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันดุดันบนกำแพงนั่น!
นางลอบขมวดคิ้วกับตัวเอง
ลมปราณเข้มข้นเช่นนี้… ย่อมมิได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปแน่
“ท่านพ่อ กว่ากำแพงนี้จะปรากฏขึ้นมาได้ใช้เวลานานเท่าไรในแต่ละรอบ? สองครั้งก่อนเองก็ปรากฏขึ้นปุบปับเช่นนี้เหมือนกันหรือ?”
ฉู่หนิงส่ายศีรษะ
“เวลาปรากฏตัวของมันไม่แน่นอน จนถึงตอนนี้ข้าเองก็เคยเห็นมันแค่สามครั้ง อีกทั้งก่อนหน้านี้สภาพร่างกายและจิตใจของข้าย่ำแย่ยิ่งจึงมิได้ใส่ใจมันมาก รู้เพียงว่าทุกครั้งมันจะปรากฏขึ้นยามอาทิตย์ลับฟ้า แล้วหายไปยามฟ้าสว่าง ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นตอนกลางวันมาก่อน”
เขาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนกล่าวเสริมว่า
“ตอนเห็นกำแพงนี้ครั้งแรก ข้าเพิ่งถูกเนรเทศมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ตอนนั้นข้าคิดว่าหากข้ามกำแพงนั่นไปก็จะสามารถออกจากที่นี่ได้ ดังนั้นจึงพยายามมุ่งไปฟากโน้นอย่างสุดความสามารถ หากแต่ยังมิทันไปถึง ฟ้าก็สว่างแล้ว ส่วนมันก็หายวับไปทั้งแบบนั้น”
“ภายหลังข้าจึงรู้ว่า ข้าจะออกไปได้หรือไม่นั้น หาได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับมัน ข้าเองก็เลยไม่ได้สนใจมันอีก”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเข้าใจ
ยลเห็นภูผา วิ่งม้าจนตัวตาย
แม้ว่ามองจากตรงนี้แล้วกำแพงนั่นดูอยู่ห่างออกไปไม่มาก
แต่หากคิดจะไปใกล้มันจริงๆ เกรงว่าต้องเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
แต่ว่าเหตุใดจู่ๆ ที่แห่งนี้ถึงมีกำแพงโผล่ขึ้นมาได้เล่า?
สุสานสังหารเทพแห่งนี้ช่างสรรหามีสถานที่แปลกๆ มากมายโดยแท้…
ในตอนที่นางตัดสินใจจะนิ่งรอดูความเปลี่ยนแปลงของมันนั่นเอง หินก้อนหนึ่งพลันโจนออกมาจากแหวนเฉียนคุน แล้วกลิ้งหลุนๆ มาหยุดข้างเท้าฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ก้มศีรษะมอง
หินก้อนนั้นกลิ้งตัวไปทางข้างหน้า
คิ้วเรียวดำขลับของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้น แต่กลับมิได้ขยับเท้าแต่อย่างใด
ไม่นานนัก หินก้อนที่สองก็กระโดดออกมาชนเข้ากับข้างเท้าของฉู่หลิวเยว่เช่นกัน จากนั้นเริ่มกลิ้งหลุนๆ ไปยังเบื้องหน้า
ครานี้มันเคลื่อนที่ไปไกลกว่าหินก้อนแรกมาก ทว่าทิศทางที่พากันกลิ้งไป… ล้วนแต่มุ่งไปยังกำแพงสุดขอบฟ้าอันนั้น!
ในตอนที่หินก้อนที่สามโดดผลุงออกมา ฉู่หลิวเยว่ถึงได้เอ่ยปากขึ้นมาในท้ายที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...