ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 1679

……….

มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะบางเบาจนมิอาจสรรหาคำใดมาบรรยายได้

ทว่าตราบที่เบนสายตาขึ้นไปมองแผ่นสีดำอันเข้มข้นนั่น ย่อมบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว

ใจของฉู่หลิวเยว่ที่เดิมเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยก็ค่อยๆ สงบลง

ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับมีพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งคอยปลอบให้นางเบาใจอยู่ก็มิปาน

เมื่อรับรู้ได้ถึงข้อนี้ ฉู่หลิวเยว่พลันหรี่ตาลง

น่าแปลก…

ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดเสียนี่กระไร

เดิมทีนางเข้าใกล้กำแพงนี้ด้วยความรู้สึกต่อต้านและกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย

ทว่ามาตอนนี้ ยิ่งเข้าใกล้มันเท่าไร อารมณ์ของนางก็ยิ่งสงบนิ่งขึ้นมากเท่านั้น

กระทั่งในความเลือนรางยังปรากฏความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยจางๆ ขึ้นมาด้วย

นางเองก็มิรู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหนกันแน่ แต่ก็มิได้ปฏิเสธมันอีกต่อไป

หรือว่า…

เป็นเพราะหินพวกนั้นที่เก็บมาเมื่อคราวก่อนหรือ?

อย่างใดเสียพวกมันก็อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปี ก็คงคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างกับที่นี่มากอยู่แล้ว

แต่ว่า…

ฉู่หลิวเยว่ยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง

นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองละเลยเรื่องสำคัญบางอย่างไป หากแต่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วก็นึกไม่ออกว่ามันคือเรื่องใด

ความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายเคลื่อนผ่านในหัวของฉู่หลิวเยว่ไม่หยุดหย่อน

ทว่าฝีเท้าของนางยังคงเคลื่อนต่อโดยไม่หยุดยั้ง

ครู่ต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็รับรู้ได้ว่าความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย

ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้าส่งเดช

ระลอกคลื่นจำนวนหนึ่งแผ่ออกไปเป็นวงเล็กๆ ยามนิ้วของนางจุ่มเข้าไป

“ที่นี่คือค่ายกลรูปแบบหนึ่ง”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยออกไปอย่างมั่นใจ

อีกอย่างแรงกดดันของมันดูจะแข็งแกร่งไม่เบา

เพราะว่าค่ายกลเป็นแบบโปร่งใส ทั้งยังอยู่ในช่วงกลางคืนจึงยากที่จะสังเกตเห็น

นางเองก็เดินจนมาถึงเบื้องหน้าแล้วถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

เพียงแต่ว่า…

ค่ายกลนี้ดูจะไม่เป็นภัยอันใดเลยหนา?

หรงซิวดึงมือของนางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็สะบัดชายเสื้อคลุม ค่ายกลเบื้องหน้าพลันหายวับไปในพริบตา

เขาเดินไปข้างหน้า เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก

“คงเป็นเพราะกระแสพลังจำนวนมากที่หลงเหลืออยู่ในสุสานสังหารเทพทับซ้อนกัน จึงเกิดการกระเพื่อมของกระแสวุ่นวายสลายสูญ ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลโดยบังเอิญ มิมีอันใดต้องกังวล”

ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย

ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าองค์ไท่จู่ก็ถูกกระแสวุ่นวายสลายสูญกวาดหายไปหรอกหรือ?

ในที่แห่งนี้ พลังที่หลงเหลือร่องรอยกว่าหมื่นปีแต่ละสายเข้าห้ำหั่นกันไม่หยุด จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ

อีกอย่าง นางก็ไม่ได้รู้สึกถึงภัยอันตรายอันใดจากค่ายกลนั่นด้วย

นางรีบปัดเรื่องนี้เก็บไว้ก่อน จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินต่อไป

หลังจากที่พวกเขาไปจากที่แห่งนี้แล้ว เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ก็มีเงาร่างหลายร่างปรากฏตัวขึ้น ณ ที่ตรงนั้น

เป็นพวกของหนานอวี่สิงนั่นเอง

สีหน้าของพวกเขาล้วนแต่ดูไม่จืดทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้อาวุโสไป๋ถงที่มีสีหน้าซีดขาวเป็นพิเศษ

น่องขาของเขาถูกตัดขาด บัดนี้จึงเหลือขาเพียงข้างเดียวที่ยังใช้เดินอยู่ต่อได้

การเดินทางครานี้ คนที่ลำบากที่สุดคือเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้จะรับยาอายุวัฒนะชั้นเลิศไปแล้ว หากแต่บาดแผลสาหัสเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ขาของเขาก็มิอาจงอกขึ้นมาใหม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ด้วย

ความลำบากอันยากจะรับไหวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ผู้อาวุโสอูเผิงมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า

“มิเช่นนั้นพวกเราพักกันก่อนสักหน่อยเถิด”

“ไม่ได้!”

ผู้อาวุโสไป๋ถงรีบปฏิเสธข้อเสนอแนะทันควันด้วยสีหน้ารู้สึกผิดยิ่ง

“พวกเขาเดินทางกันรวดเร็วนัก เป็นเพราะข้าเองที่ทำให้การเดินทางครานี้ของพวกเราตามหลังอยู่มาก หากตอนนี้ยังมาพักอีก เกรงว่าจะล่าช้ายิ่งกว่าเก่า”

ผู้อาวุโสอูเผิงขมวดคิ้ว แต่กลับมิอาจมิยอมรับได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมาเป็นความจริง

“นี่พวกเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่? มืดค่ำปานนี้แล้ว หรือว่าคิดจะเดินทางต่อไปแบบนี้โดยไม่หยุดพักกัน?”

หนานอวี่สิงเองก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก

แม้บาดแผลของเขาจะเบากว่าของผู้อาวุโสไป๋ถงอยู่บ้าง แต่พอประสบกับความทรมานเช่นนี้เข้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน

เดิมพวกเขายังคงกังวลว่าหากไล่ตามไปใกล้เกิน จะถูกพวกหรงซิวจับได้

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์