……….
มันเป็นความรู้สึกที่แสนจะบางเบาจนมิอาจสรรหาคำใดมาบรรยายได้
ทว่าตราบที่เบนสายตาขึ้นไปมองแผ่นสีดำอันเข้มข้นนั่น ย่อมบังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ใจของฉู่หลิวเยว่ที่เดิมเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยก็ค่อยๆ สงบลง
ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับมีพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งคอยปลอบให้นางเบาใจอยู่ก็มิปาน
เมื่อรับรู้ได้ถึงข้อนี้ ฉู่หลิวเยว่พลันหรี่ตาลง
น่าแปลก…
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างแปลกประหลาดเสียนี่กระไร
เดิมทีนางเข้าใกล้กำแพงนี้ด้วยความรู้สึกต่อต้านและกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย
ทว่ามาตอนนี้ ยิ่งเข้าใกล้มันเท่าไร อารมณ์ของนางก็ยิ่งสงบนิ่งขึ้นมากเท่านั้น
กระทั่งในความเลือนรางยังปรากฏความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคยจางๆ ขึ้นมาด้วย
นางเองก็มิรู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้มาจากไหนกันแน่ แต่ก็มิได้ปฏิเสธมันอีกต่อไป
หรือว่า…
เป็นเพราะหินพวกนั้นที่เก็บมาเมื่อคราวก่อนหรือ?
อย่างใดเสียพวกมันก็อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปี ก็คงคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างกับที่นี่มากอยู่แล้ว
แต่ว่า…
ฉู่หลิวเยว่ยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
นางรู้สึกราวกับว่าตัวเองละเลยเรื่องสำคัญบางอย่างไป หากแต่ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วก็นึกไม่ออกว่ามันคือเรื่องใด
ความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายเคลื่อนผ่านในหัวของฉู่หลิวเยว่ไม่หยุดหย่อน
ทว่าฝีเท้าของนางยังคงเคลื่อนต่อโดยไม่หยุดยั้ง
ครู่ต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็รับรู้ได้ว่าความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าบังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย
ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านหน้าส่งเดช
ระลอกคลื่นจำนวนหนึ่งแผ่ออกไปเป็นวงเล็กๆ ยามนิ้วของนางจุ่มเข้าไป
“ที่นี่คือค่ายกลรูปแบบหนึ่ง”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยออกไปอย่างมั่นใจ
อีกอย่างแรงกดดันของมันดูจะแข็งแกร่งไม่เบา
เพราะว่าค่ายกลเป็นแบบโปร่งใส ทั้งยังอยู่ในช่วงกลางคืนจึงยากที่จะสังเกตเห็น
นางเองก็เดินจนมาถึงเบื้องหน้าแล้วถึงเพิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เพียงแต่ว่า…
ค่ายกลนี้ดูจะไม่เป็นภัยอันใดเลยหนา?
หรงซิวดึงมือของนางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็สะบัดชายเสื้อคลุม ค่ายกลเบื้องหน้าพลันหายวับไปในพริบตา
เขาเดินไปข้างหน้า เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
“คงเป็นเพราะกระแสพลังจำนวนมากที่หลงเหลืออยู่ในสุสานสังหารเทพทับซ้อนกัน จึงเกิดการกระเพื่อมของกระแสวุ่นวายสลายสูญ ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลโดยบังเอิญ มิมีอันใดต้องกังวล”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย
ก่อนหน้านี้มิใช่ว่าองค์ไท่จู่ก็ถูกกระแสวุ่นวายสลายสูญกวาดหายไปหรอกหรือ?
ในที่แห่งนี้ พลังที่หลงเหลือร่องรอยกว่าหมื่นปีแต่ละสายเข้าห้ำหั่นกันไม่หยุด จะเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นก็เป็นเรื่องปกติ
อีกอย่าง นางก็ไม่ได้รู้สึกถึงภัยอันตรายอันใดจากค่ายกลนั่นด้วย
นางรีบปัดเรื่องนี้เก็บไว้ก่อน จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินต่อไป
…
หลังจากที่พวกเขาไปจากที่แห่งนี้แล้ว เวลาประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ก็มีเงาร่างหลายร่างปรากฏตัวขึ้น ณ ที่ตรงนั้น
เป็นพวกของหนานอวี่สิงนั่นเอง
สีหน้าของพวกเขาล้วนแต่ดูไม่จืดทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้อาวุโสไป๋ถงที่มีสีหน้าซีดขาวเป็นพิเศษ
น่องขาของเขาถูกตัดขาด บัดนี้จึงเหลือขาเพียงข้างเดียวที่ยังใช้เดินอยู่ต่อได้
การเดินทางครานี้ คนที่ลำบากที่สุดคือเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จะรับยาอายุวัฒนะชั้นเลิศไปแล้ว หากแต่บาดแผลสาหัสเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ขาของเขาก็มิอาจงอกขึ้นมาใหม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้ด้วย
ความลำบากอันยากจะรับไหวจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสอูเผิงมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวว่า
“มิเช่นนั้นพวกเราพักกันก่อนสักหน่อยเถิด”
“ไม่ได้!”
ผู้อาวุโสไป๋ถงรีบปฏิเสธข้อเสนอแนะทันควันด้วยสีหน้ารู้สึกผิดยิ่ง
“พวกเขาเดินทางกันรวดเร็วนัก เป็นเพราะข้าเองที่ทำให้การเดินทางครานี้ของพวกเราตามหลังอยู่มาก หากตอนนี้ยังมาพักอีก เกรงว่าจะล่าช้ายิ่งกว่าเก่า”
ผู้อาวุโสอูเผิงขมวดคิ้ว แต่กลับมิอาจมิยอมรับได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมาเป็นความจริง
“นี่พวกเขาคิดจะทำสิ่งใดกันแน่? มืดค่ำปานนี้แล้ว หรือว่าคิดจะเดินทางต่อไปแบบนี้โดยไม่หยุดพักกัน?”
หนานอวี่สิงเองก็ไม่สบอารมณ์อย่างมาก
แม้บาดแผลของเขาจะเบากว่าของผู้อาวุโสไป๋ถงอยู่บ้าง แต่พอประสบกับความทรมานเช่นนี้เข้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
เดิมพวกเขายังคงกังวลว่าหากไล่ตามไปใกล้เกิน จะถูกพวกหรงซิวจับได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...