……….
หนานอีอีตอบกลับทันควัน
“มิเช่นนั้นก็ลองเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมาดูซี?”
สิ้นเสียงคำพูด ทุกคนที่อยู่ ณ ที่ตรงนั้นพลันเงียบกริบ
หนานอวี่สิงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างลังเล
“นี่… เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเกินไปหน่อยกระมัง? ท่านอาลั่วเหยี่ยนมีใจฝักใฝ่ในการฝึกตน มิเคยก้าวก่ายงานของตระกูล อีกอย่างการมาครานี้ ความตั้งใจเดิมของท่านพ่อคืออยากฝึกฝนเจ้าให้มาก ขอแค่เจ้านำของกลับไปได้ด้วยตัวเองจึงจะเป็นที่ยอมรับของคนในตระกูล หากเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมาล่ะก็… หลังกลับไปต้องมีคำครหาไม่น้อยจากผู้คนเป็นแน่…”
“แล้วตอนนี้พวกเรามีทางเลือกอื่นหรือไม่เล่า?”
หนานอีอีเองก็กราดเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน ท่าทีของนางจึงเริ่มหมดความอดทนขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีการมาครั้งนี้นางก็ไม่ได้อยากมาแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องมาตกระกำลำบาก พบเจอความยากเย็นแสนเข็ญมากปานนี้อีก!
ความจริงขอแค่ท่านพ่อส่งคนมามากกว่านี้ก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เหตุใดมันถึงได้เป็นปัญหามากมายนัก?
“หรือว่าต้องรอให้เกิดเรื่องกับพวกเราก่อน ถึงจะยอมส่งคนมาให้?”
“คุณหนูรอง! คำพูดไม่เป็นมงคล อย่าพูดออกมาซี้ซั้ว” ผู้อาวุโสไป๋ถงรีบเอ่ย “ท่านและคุณชายใหญ่ย่อมต้องจัดการทุกอย่างราบรื่นได้แน่”
หนานอีอีผินหน้าไปพลางลอบแค่นหัวเราะเย็นเยียบอยู่ในใจ
ตอนนี้ตกอยู่ในสภาพนี้กันแล้ว ยังมาพูดเรื่องราบรื่นไม่ราบรื่นบ้าบออันใดอีก?
จะกลับไปได้อย่างปลอดภัยต่างหากเล่าที่เป็นปัญหาใหญ่!
หนานอวี่สิงสีหน้าเคร่งเครียดนัก เขาสองจิตสองใจอยู่นานทีเดียว
ความจริงแล้วเขาเองก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าสามารถนำไปสู่ทางตันได้
หากมิเรียกคนมาช่วยแล้วละก็ เกรงว่าพวกเขาคงมิอาจทำภารกิจสำเร็จกลับไปได้
เพียงแต่ว่าการเชิญท่านอาลั่วเหยี่ยนมา… อย่างใดก็ไม่เหมาะสมอยู่มากทีเดียว…
“พี่ใหญ่ แต่ไหนแต่ไรมาท่านอาลั่วเหยี่ยนก็เอ็นดูข้ามากที่สุด ข้าเชิญเขาให้มาช่วยข้า ไม่ได้ให้เขามาช่วยข้าหาของนั่น หรือว่าแบบนี้ก็มิได้หรือ?”
ประโยคนี้ของหนานอีอีทำให้หนานอวี่สิงพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกในท้ายที่สุด
“ได้!”
…
เข้าสู่ยามดึกแล้ว
บนพื้นที่รกร้างล้วนแต่มืดมิดและเงียบงันจนน่ากลัว
มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวอันนำพามาซึ่งความรู้สึกเย็นยะเยือกที่พัดผ่านข้างหูไม่หยุด
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็หยุดฝีเท้าลง
นางผินศีรษะกลับไปมองแวบหนึ่ง
เงียบสงัด ไร้วี่แววของผู้คน
เงาร่างของคนน่ารำคาญพวกนั้นเองก็ถูกสลัดหลุดแล้วในที่สุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกหนานอวี่สิงอันใดนั่นคิดอันใดอยู่กันแน่ ตลอดทางมานี้ถึงได้ทำตัวเหมือนติดหนึบพวกนางก็มิปาน
ตอนแรกนางยังคิดว่าตัวเองคิดมากไป ภายหลังถึงรู้ว่าพวกเขาตามพวกนางมาอยู่จริงๆ
แม้นพวกเขาจะระวังตัวอย่างมาก แต่บนตัวฉู่หลิวเยว่มีก้อนหินมากมายปานนั้น สัมผัสตอบสนองต่อรอบด้านเองก็เฉียบคมยิ่ง จะไม่รู้สึกถึงได้อย่างใด?
เพียงแค่ว่าใจนางตอนนี้คิดอยากหาตัวองค์ไท่จู่ให้เจอก่อน ถึงได้เมินเฉยพวกเขาไป
โชคดีที่เวลาเหมาะเจาะ นางใช้อุบายเล็กน้อยจึงสามารถสลัดพวกเขาออกไปได้สำเร็จ
ข้างหูของนางเงียบสงบลงได้ในที่สุด ฉู่หลิวเยว่พรูลมหายใจออกมาแผ่วเบา ชักสายตากลับมาเบนมองไปข้างหน้า
ในตอนนี้ ระยะห่างระหว่างพวกเขากับกำแพงเหลือเพียงร้อยจั้งเท่านั้น
ยามยืนอยู่ตรงนี้ก็สามารถเห็นรูปลักษณ์โดยคร่าวของกำแพงนั่นได้ชัดเจนแล้ว
ดุดัน ใหญ่โต เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยกลิ่นคาวเลือด!
หลังจากมองมันอยู่พักหนึ่ง ในหัวของฉู่หลิวเยว่ก็ตะโกนคำเหล่านี้ออกมาโดยพลัน
ก้อนอิฐแลหินสีดำขนาดใหญ่วางซ้อนทับกันเป็นชั้นขึ้นไป พวกมันถูกเรียงตัวไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยนัก
แม้นเผชิญกับการกัดเซาะมาเป็นเวลายาวนาน บนกำแพงจึงปรากฏรอยด่างดวงเต็มผืนผนัง ทว่ากลับดูออกได้ไม่ยากว่าปีแรกๆ ที่ถูกสร้างมันยิ่งใหญ่งดงามเพียงใด
กำแพงอันนี้ใหญ่โตนัก ฉู่หลิวเยว่เงยศีรษะขึ้นไปก็แทบจะมองไม่เห็นยอดแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...