ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 168

ฉู่หลิวเยว่นำยาต่างๆ กลับมายังที่พักของตนเอง

หลังจากนำยาทั้งหมดออกจากถุงเฉียนคุนแล้วก็นำมาจัดวางตามลำดับ จากนั้นในขณะที่กำลังจะกลับไปหอโอสถสวรรค์เพื่อคืนถึงเฉียนคุนให้อาจารย์จั่วหรง นางก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวที่มาจากข้างนอก

นางเดินไปที่ประตู ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นว่าอาจารย์จั่วหรงพาอาจารย์ท่านอื่นมาที่เรือนพัก

ทันทีที่อาจารย์จั่วหรงเห็นนางก็ยิ้มให้ทันที ก่อนจะเอ่ยว่า

“หลิงเยว่ อาจารย์เหล่านี้ก็เคยมาดูอาการของเลี่ยวจงซูเมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน ข้าก็เลยพาพวกเขามาดูเจ้าด้วย”

อาจารย์พวกนั้นลอบมองสำรวจฉู่หลิวเยว่เงียบๆ

จั่วหรงกล่าวว่าฉู่หลิวเยว่นั้นรู้ว่าเลี่ยวจงซูถูกพิษชนิดใด และรู้แม้กระทั่งวิธีควบคุมการลุกลามของพิษอีกด้วย พวกเขาทั้งแปลกใจทั้งสงสัย ดังนั้นพวกเขาจึงขอตามมาพร้อมกับจั่วหรง

แท้ที่จริงพวกเขาสงสัยมากกว่านั้นคือ…ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยแม้กระทั่งฝึกฝนด่านหมอเทวดามาก่อน ที่สำคัญตอนที่นางสอบเข้าสำนัก ไฉนเคยบอกว่าพรสวรรค์ทางด้านนี้มีขีดจำกัด เหตุใดยามนี้ทำไมนางถึงได้ดูเก่งกาจยิ่งนัก

ฉู่หลิวเยว่รู้ไส้รู้พุงดี ที่พวกเขามาที่นี่ไม่ได้มาหานางธรรมดา แต่พวกเขามาดูนางปรุงยาพวกนี้ต่างหาก

นางเองก็ไม่ได้หมกเม็ด เมื่อทำความเคารพพวกอาจารย์ที่มาแล้ว นางก็เชิญพวกเขาเข้าไปในห้อง

“อาจารย์จั่วหรง ท่านมาได้ประจวบเหมาะพอดี เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งนำยาออกจากถุงเฉียนคุน ข้าขอคืนให้ท่านเลยก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

ฉู่หลิวเยว่พูดพร้อมกับส่งถุงเฉียนคุนคืนให้จั่วหรง

จั่วหรงรับไว้พร้อมกับหัวเราะเหอะๆ

“เจ้าคล่องแคล่วจริงๆ ต่อไปถ้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าแค่เอ่ยปากมาก็พอ!”

ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากยิ้มบางๆ

“เช่นนั้นหลิวเยว่ก็ต้องขอบคุณท่านล่วงหน้าแล้วเจ้าค่ะ”

บทสนทนาระหว่างทั้งสอง ทำให้อาจารย์อีกหลายท่านแอบตกใจเหมือนกัน

ปกติจั่วหรงหวงแหนถุงเฉียนคุนจะตายไป แม้พวกเขาอยากยืมก็ไม่เคยให้ยืมสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับใจดีกับฉู่หลิวเยว่มากขนาดนี้เลยเชียว!

“นั่นคือยาที่เจ้าเอามาจากหอโอสถสวรรค์ทั้งนั้นเลยหรือ”

อาจารย์ท่านหนึ่งชี้ไปที่กล่องที่กองอยู่ภายในห้องพร้อมกับเอ่ยถาม

“นี่มันไม่เยอะไปหน่อยหรือ”

ฉู่หลิงเยว่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า

“อาจารย์เสวียนชางวางใจเถิดเจ้าค่ะ ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่ายาพวกนี้ไม่ได้มาง่ายๆ ศิษย์จะใช้อย่างระมัดระวังจะมิให้สิ้นเปลืองสักนิดเลยเจ้าค่ะ”

เสวียนชางมองนางด้วยความสงสัย

“ใช้อย่างระมัดระวังอย่างนั้นรึ ยามากมายถึงเพียงนี้ เจ้าจะปรุงยาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร พูดแบบนี้ เกรงว่าคงจะดูโอ้อวดไปหน่อยกระมัง”

ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้โต้แย้งอะไรอีก

“เอาล่ะๆ เสวียนชาง แม้กระทั่งเลี่ยงจงซูถูกวางยาพิษตอนไหนเจ้าก็ยังไม่รู้เลย เจ้าจะพูดให้มากความไปเพื่อการใด!”

วาจาของจั่วหรงทำให้เสวียนชางจุกจนพูดไม่ออก

เขาสบถเสียงต่ำ

“ได้! เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามาสิ!”

อาจารย์ท่านอื่นที่เหลือหูผึ่งขึ้นมาทันที

ฉู่หลิวเยว่ใช้ความคิดเล็กน้อย

“อันที่จริงพิษชนิดนี้ข้าก็ไม่ค่อยสันทัดนักเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าแค่เคยเห็นเท่านั้นเอง…”

แน่นอนว่านางมิสามารถเผยตัวตนออกไปทั้งหมด นางจึงอธิบายสั้นๆ โดยใช้น้ำเสียงที่ฟังดูมึนงง

พวกจั่วหรงยังอยากถามรายละเอียดให้แน่ชัดกว่านี้ แต่พวกเขากลับพบว่าดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะมิได้เข้าใจไปเสียทุกเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงถอดใจ

“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้าก็ไม่ได้มั่นใจว่ายานี้จะได้ผลทั้งหมดใช่หรือไม่ เจ้าเอาชีวิตของเลี่ยวจงซูมาล้อเล่นหรือ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น…”

เสวียนชางนิ่งเงียบไปครู่หนี่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยปากว่า

“ยังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้อีก คนอื่นไม่รู้ เจ้ายังไม่เข้าใจอาการของเลี่ยวจงซูในตอนนี้อีกหรือ ถ้าหากยังยืดเยื้อไปอีกหลายวัน เขาก็จะไม่รอด! ยังจะมาล้อเล่นอะไรได้อีก”

จั่วหรงพูดแทรกเสวียนชางอย่างหมดความอดทน พร้อมกับผายมือไปทางฉู่หลิวเยว่

“เจ้านี่มันช่างดื้อรั้นหัวแข็งจริงๆ! ฉู่หลิวเยว่ เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา ทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำต่อไปเถิด!”

เสวียนชางหุบปากด้วยความขุ่นเคือง

ฉู่หลิวเยว่ลอบถอนหายใจเบาๆ

เดิมทีนางอยากจะปรุงยาให้เลี่ยวจงซูอย่างเงียบสงบ แต่คิดไม่ถึงว่าจั่วหรงจะสนใจเรื่องนี้มากขนาดนี้

เมื่อเห็นท่าทางพวกเขาเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตั้งใจมาดูว่านางจะปรุงยาอย่างไร

ด้วยนิสัยของฉู่หลิวเยว่ นางจึงไม่สนใจพวกเขาอีก จากนั้นนางก็เดินไปหยิบยาออกมา แล้วเริ่มเตรียมการเป็นอย่างๆ

ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวัง

หรงซิวที่สวมเสื้อคลุมสีดำ เขายืนอยู่ข้างนอกประตูอย่างเงียบๆ

ร่างสูงโปร่งยืนตระหง่านเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะทำให้ทัศนียภาพรอบข้างนั้นดูหมองไปถนัดตา

สายตาของนางกำนัลในวังที่ยืนอยู่ไกลๆ ฉายแววอิจฉา

“หลีอ๋องเกิดมารูปงามหล่อเหลาจริงๆ ความงดงามโดดเด่นของร่างกายเช่นนี้ ข้าว่าในเมืองหลวงนี้มิมีผู้ใดเทียบเทียมได้!”

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร ครั้นเมื่องานวันเกิดรัชทายาท ทันทีที่หลีอ๋องทรงเผยโฉม ไม่รู้ว่าทำให้หญิงสาวตกหลุมรักไปตั้งเท่าไหร่ แต่ทว่าน่าเสียดายที่พระองค์ทรงไม่แข็งแรง ทั้งยังเข้าวังนับครั้งได้ พวกเราเจอหน้าสักครั้งยังเป็นเรื่องยาก!”

“พระองค์รีบเสด็จเถิด…”

ฝ่าบาทกำลังทรงกริ้ว หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปเขาคงไม่กล้าเชิญเข้าไปในตอนนี้ แต่หลีอ๋องท่านนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง

เมื่อฉู่เซียวได้ยินดังนั้น เขาก็อดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้เพื่อมองหน้าหลีอ๋องผู้ที่เผยโฉมนับครั้งได้

หรงซิวชำเลืองมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนที่ขาเรียวยาวของเขาจะก้าวเข้าไปในห้องทรงอักษร

ทันทีที่หรงซิวเดินเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นถ้วยชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น

สีหน้าของจยาเหวินตี้ยังคงมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวหลงเหลืออยู่บ้าง

หรงซิวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจือจางว่า

“เสด็จพ่อ มีเรื่องอันใดที่ทำให้ทรงกริ้วถึงเพียงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

“อย่าไปพูดถึงเลย”

เมื่อจยาเหวินตี้เห็นเขา สีหน้าจึงอ่อนโยนขึ้นมามาก

“ร่างกายของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ”

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ลูกดีขึ้นมากแล้ว ช่วงนี้ออกมาเดินเล่นข้างนอกได้บ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จยาเหวินตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ทันใดนั้นก็ยังกลับมาขมวดคิ้วมุ่นอยู่ดี

“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็คงไม่ใช่การดีสักเท่าไหร่…รอมีโอกาสเมื่อไหร่ พ่อจะต้องหาหมอเทวดาที่มีความสามารถสักคนมาดูอาการให้เจ้าอย่างแน่นอน!”

หรงซิวยิ้มอ่อนโยนราวกับเทพบุตร

“ลูกเกิดมาก็มีร่างกายเป็นเช่นนี้แล้ว ลูกชินแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องเป็นห่วง”

“จะไม่ให้เจิ้นไม่ห่วงได้อย่างไร เจ้าเป็น…เจ้าไม่มีมารดาดูแลตั้งแต่เล็ก ต่อมาก็ต้องร้างไกลจากเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก ไปอยู่เขาหมิงเยว่เทียนลำพังเพียงผู้เดียว หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้ามากมายเหลือเกิน”

หรงซิวก้มหน้าหลุบตาต่ำ

“เสด็จพ่อตรัสเกินไปแล้ว ลูกเข้าใจความหวังดีของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

จยาเหวินตี้พิศมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ

“เจ้าเป็นลูกกตัญญูมาโดยตลอด ไม่เหมือนพวกที่น่าโมโหพวกนั้น…ช่างเถิด เจ้าไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ เจิ้นก็จะไม่พูดให้มากความ วันนี้ที่เรียกเจ้ามาเพราะอยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ากลับมาเมืองหลวงได้สักระยะหนึ่งแล้ว เจ้าชอบพอสตรีลูกหลานตระกูลใดบ้างหรือไม่”

หรงซิวชะงักไปชั่วขณะ

“เสด็จพ่อ หมายความว่า…”

จยาเหวินตี้ทรงพระสรวล

“ตอนนี้เจ้าก็ได้แต่งตั้งเป็นท่านอ๋องแล้ว แต่กลับยังไร้สตรีข้างกาย ก่อนสร้างฐานะ แน่นอนว่าต้องสร้างครอบครัวเสียก่อนถึงจะสร้างฐานะได้ เจิ้นให้ขุนนางไปเตรียมภาพวาดหญิงงามสูงศักดิ์ที่มีอายุเหมาะสมที่จะออกเรือนมากมายมาให้แล้ว เจ้าเลือกมาสักคนแล้วเลือกฤกษ์วันอภิเษกซะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์