ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 169

หรงซิวนิ่งเงียบไปทันที

เขาคาดไม่ถึงว่าคราวนี้เสด็จพ่อจะเรียกเขาเข้าเฝ้าด้วยเรื่องนี้

“เสด็จพ่อ เสด็จพี่หลายพระองค์ยังมิได้อภิเษกเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ให้ลูกคิดถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนจะเร็วไป…”

จยาเหวินตี้สบถเสียงเย็นชา

“พี่ชายพวกนั้นของเจ้าไม่เคยทำให้เจิ้นสบายใจเลยสักคน ไม่ต้องเอ่ยถึงพวกเขา! หลายปีที่ผ่านมา เจิ้นไม่ได้ดูแลเจ้าเท่าที่ควร ตอนนี้จึงอยากเลือกคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่เจ้าด้วยตนเอง!”

จยาเหวินตี้เชิดพระพักตร์ขึ้น

“เจิ้นรู้ว่าเจ้าเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน และออกไปข้างนอกนับครั้งได้ เจ้าก็อาจจะมิค่อยคุ้นเคยกับเหล่าสตรีในเมืองหลวงเท่าไรนัก ดังนั้นตอนนี้รูปวาดของพวกนางได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเลือกเองเถิด หากโปรดปรานผู้ใด เจ้าก็แค่บอกเจิ้นคำเดียว”

จยาเหวินตี้ผายมือ ดูเหมือนว่าถ้าหากหรงซิวเลือกสตรีนางใด เขาก็จะพระราชทานสมรสให้ทันที

การมัดมือชกครั้งนี้มิรู้ว่าหรงซิวจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เขาไม่ได้มองภาพเหล่านั้นด้วยซ้ำ และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เสด็จพ่อ ร่างกายของลูกอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ถ้าหากแต่งงานไป ก็รั้นแต่จะเป็นภาระกับผู้อื่น ลูกว่าพักเรื่องนี้ไปก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าพูดอะไรเยี่ยงนั้น ใครแต่งกับเจ้าก็นับว่าเป็นโชคดีของนาง ใครกล้าพูดว่าเจ้าเป็นภาระ เจ้าเลือกมาเลยดีกว่า!”

เมื่อจยาเหวินตี้ได้ยินหรงซิวพูดอย่างนั้น ใบหน้าของเขาก็ยิ่งดูยืดยาว

พอพูดถึงเรื่องนี้ หรงซิวเป็นองค์ชายที่อยู่เคียงข้างเขาเป็นเวลาสั้นที่สุด หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขาทั้งสองไม่ได้แน่นแฟ้นขนาดนั้น

แต่แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ว่าพระโอรสเขารักที่สุดในใจคือลูกคนนี้

“คุณหนูสี่แห่งตระกูลซูมีพรสวรรค์ไม่เลว เสียดายที่เป็นลูกอนุภรรยา คงไม่เหมาะสมกับเจ้าเท่าไร่ แต่ถ้าหากเจ้าชอบนางล่ะก็ จะแต่งนางมาเป็นชายารองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตระกูลลู่เกิดมาในตระกูลพ่อค้าวาณิช สตรีในตระกูลก็เกิดมาพร้อมกับอำนาจในมือ เจิ้นมิชอบใจเท่าไร คุณหนูใหญ่ตระกูลหยาง ถึงแม้จะมีฐานะปานกลาง แต่รูปร่างหน้าตาอุปนิสัยไร้ที่ติ สมกับเป็นกุลสตรี เจ้าจะลองเลือกดูก็ได้ อ้อ จริงสิ ยังมีบุตรีของเสนาบดีเจิ้นเป่ยอีกด้วย เจ้า…”

จยาเหวินตี้ได้สาธยายสตรีที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลขุนนางเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองหลวง

จากมุมมองของคนธรรมดา สตรีเหล่านี้ล้วนมีภูมิหลังอันสูงศักดิ์ ไม่ว่าจะเลือกสตรีนางใดก็ล้วนดีงามเหมือนกันทั้งนั้น

แต่ในสายตาของจยาเหวินตี้เจ้าครองแคว้นเย่าเฉิน พวกนางกลับมีข้อบกพร่องในเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่บ้าง

แต่ก็มิได้แปลกใจสำหรับเขา ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาของหรงซิว ก็สามารถบดบังรัศมีความงามของสตรีหลายคนได้อยู่แล้ว

อีกอย่าง เขายังเป็นองค์ชายเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับแต่งตั้งตำแหน่งอ๋อง ยิ่งเมื่ออภิเษกไปแล้วก็จะได้รับเกียรติตามตำแหน่งไปด้วย

จยาเหวินตี้เลือกตาม สายตาของเขาหลักแหลมและไม่เป็นที่น่าครหาได้

สำหรับร่างกายของหรงซิว…ในความเห็นของเขา หาได้ใช่ปัญหาใหญ่อะไรไม่

หรงซิวมองดูท่าทางตื่นเต้นของจยาเหวินตี้แล้วก็เลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กำหมัดข้างหนึ่ง แล้วยกขึ้นมาป้องปากไอโขลกๆ

จยาเหวินตี้หยุดทันที แล้วมองเขาด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าไออีกแล้วหรือ ร่างกายยังไม่แข็งแรงดีอีกหรือ”

หรงซิวส่ายหน้า ริมฝีปากซีดเซียวของเขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ลูกไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อไม่ต้องทรงกังวลพระทัย…แค่กๆ…”

เมื่อเห็นอาการของเขา จยาเหวินรตี้ก็ไม่อยากคิดถึงประเด็นนั้นอีก

“ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจ วันนี้ก็ไม่ต้องพูดอีกแล้ว แต่เรื่องนี้ เจ้าก็ต้องเก็บไปพิจารณา หากมีเวลาก็ออกไปเดินเล่นบ้าง ดูสิว่ามีใครที่เจ้าจะชอบพอบ้าง เจิ้นมิอาจจะตัดสินใจแทนเจ้าได้ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า”

หรงซิวโค้งคำนับเล็กน้อย

“ขอบพระทัยที่เสด็จพ่อเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”

จยาเหวินตี้ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ

แต่ทว่าสีหน้าแววตาแห่งความคิดถึงอย่างช่วยไม่ได้นั้น ประกอบกับมือที่สั่นเทาเล็กน้อย ล้วนบ่งบอกว่าหัวใจของเขาไม่สงบนิ่งเท่าไรนัก

แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี คนผู้นั้นและสิ่งของเหล่านั้นยังคงตราตรึงอยู่ในใจและไม่อาจลบเลือนได้

หรงซิวมองผู้เป็นบิดาอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาสงบและไร้คลื่นความรู้สึกใดๆ

ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจเกี่ยวกับความทรงจำของจยาเหวินตี้เลยสักนิด

แต่ทว่าเขากลับรีบซ่อนสีหน้าเย็นชานี้อย่างรวดเร็ว

“ดังนั้น ลูกจึงอยากขอไปที่สำนักเทียนลู่เพื่อดูที่ที่เสด็จแม่เคยอยู่ มิทราบว่าเสด็จพ่อจะทรงอนุญาตหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

จยาเหวินตี้ลืมตาขึ้นมา

ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าดูเติบใหญ่ขึ้นมากโดยไม่ทันรู้ตัว เขายืนหลังตรงตระหง่านอยู่ตรงนั้น แสงพระอาทิตย์สาดสะท้อนบนใบหน้าราวกับหยกของเขา ช่างดูคมชัดถึงเพียงนี้

เขาเหมือนนางมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัศมีจาง ๆ และสูงส่งระหว่างคิ้วและดวงตาวิจิตรงดงามราวกับถูกแกะสลักมาจากแม่พิมพ์

ดังนั้นทุกครั้งที่เขาเห็นใบหน้านี้ เขามักจะอดทนและเจ็บปวดมาก

“เจิ้นไม่ปฏิเสธแน่นอน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะต้องถามความเห็นจากหัวหน้าสำนักเสียก่อน คนธรรมดามิสามารถเข้าสำนักเทียนลู่ได้ แต่สถานะของแม่เจ้ากลับไม่เหมือนกัน บางทีหัวหน้าสำนักอาจจะใจดีกับเจ้าเป็นพิเศษก็ได้”

ริมฝีปากบางของหรงซิวยกยิ้มเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้ลูกเขียนจดหมายถามหัวหน้าสำนักแล้ว เขาตอบตกลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จยาเหวินตี้ตกตะลึง แต่ก็รีบตอบกลับไปทันทีว่า

“แล้ว…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถิด!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์