……….
“เยว่เออร์!”
“อาเยว่!”
ฉู่หนิงและถวนจื่อต่างก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ฉู่หลิวเยว่ยังดูปกติดีทุกอย่าง ใครก็ไม่มีทางคาดคิดว่าจู่ๆ นางจะกระอักเลือดออกมา
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เป็นไร”
หรงซิวหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีขาวหิมะออกมาช่วยนางซับคราบเลือดตรงมุมปาก ขณะเดียวกันก็ถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมของตนเข้าสู่ร่างฉู่หลิวเยว่ ค่อยๆ ช่วยนางปรับพลังที่ปั่นป่วนภายในทีละน้อย
จนกระทั่งลมปราณของนางค่อยๆ สงบนิ่ง หรงซิวจึงได้หยุดถ่ายพลัง หากแต่ก็มิยอมปล่อยมือนางแต่อย่างใด
ฉู่หลิวเยว่พลิกมือมากุมมือเขาไว้ แววตาเผยประกายปลอบเขาเป็นเชิงให้อุ่นใจ
“ข้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เมื่อครู่แค่ไม่ทันตรวจดูให้ดีเลยถูกเล่นงานเข้า ทำให้พลังปราณดั้งเดิมภายในร่างปั่นป่วน…”
เพียงแต่ยังดีที่หรงซิวยื่นมือเข้าช่วยทันเวลา ความปั่นป่วนยังไม่ทันได้แผลงฤทธิ์ก็ถูกยับยั้งไว้ก่อนแล้ว
แม้นกระอักเลือด แต่โชคยังดีที่ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบอันใดร้ายแรงมากนัก
หรงซิวจัดการตรวจสอบสภาพร่างกายนางด้วยตัวเอง เมื่อรู้ว่านางพูดความจริง ในใจก็โล่งอกไม่น้อย
แต่ภายในนัยน์ตาหงส์ลึกล้ำคู่นั้นยังคงแฝงไอเย็นเยียบอยู่หลายส่วน
“เมื่อครู่… เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”
นี่เป็นสิ่งที่ฉู่หนิงและถวนจื่อเองก็อยากรู้มากที่สุดเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้า
แม้จะรู้สึกว่าสิ่งที่พบเจอเมื่อครู่ดูจะแปลกประหลาดและไม่สมจริงอยู่หลายส่วน แต่สุดท้ายนางก็เลือกบอกความจริงไป
“… เมื่อครู่ข้าได้ยินว่ามีคนกำลังดีดฉิน”
จากนั้น นางก็เล่าสิ่งที่ตัวเองสัมผัสได้ทั้งหมดให้ฟังกันไปรอบหนึ่ง
ฉู่หนิงขมวดคิ้วแน่น
ถวนจื่อมีสีหน้ากังวล
หรงซิวหรี่ตาลงน้อยๆ ราวกับจมลงสู่ห้วงความคิด มิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“… เสียงฉินนั่นเหมือนแฝงมนต์คาถาเอาไว้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินเคลิบเคลิ้มกับเสียงเพลงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพอเวลาผ่านไป เสียงฉินก็ยิ่งบรรเลงเร็วขึ้นเรื่อยๆ เปี่ยมด้วยจิตคิดสังหาร เมื่อครู่ข้าเพียงประมาทไปชั่วขณะเท่านั้น ถึงได้…”
ฉู่หลิวเยว่พูดถึงตรงนี้ก็พลันหยุดชะงัก
“ท่านพ่อ หรงซิว พวกท่านไม่ได้ยินเสียงอันใดเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ หรือ?”
หรงซิวเบนสายตาขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวลแต่กลับหนักแน่น
“ไม่”
ในตอนนั้นเอง เงาร่างภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงของฉู่หลิวเยว่พลันวูบไหว กลับเป็นฉู่หนิงที่กำลังเดินมาทางนี้อย่างว่องไวนั่นเอง
ไอปีศาจด้านนี้เข้มข้นนัก กว่าเขาจะเดินมาได้ก็ลำบากมิใช่น้อย
เดินไม่กี่ก้าวก็ทำให้เม็ดเหงื่อผุดออกมาเต็มหน้าผากของเขา สีปากเองก็ค่อยๆ ซีดขาวลงเรื่อยๆ
“ท่านพ่อ?”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ในตอนที่กำลังจะห้ามปราม ฉู่หนิงก็กัดฟันเดินมาถึงข้างกายนางแล้ว
นางพรูลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะยื่นมือออกไปทาบลงบนกำแพงโดยไม่ลังเล
“ท่านพ่อ…”
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือออกไปขวางไว้ทันที
ทว่าฉู่หนิงกลับส่ายศีรษะ
“เยว่เออร์มิต้องเป็นห่วง พ่อเพียงแค่ลองดูเท่านั้นว่าข้างในนี้มีอันใดแปลกๆ อยู่กันแน่”
โดยเฉพาะยามเห็นนางบาดเจ็บ ก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่กว่าเก่า
“อย่างใดเสียตอนนี้พ่อมีร่างศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะบาดเจ็บ”
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกอุ่นวาบนัก จึงมิได้เอ่ยคำพูดที่เหลือที่ยังค้างคาอยู่ออกไป
ฉู่หนิงจึงจัดการวางทาบฝ่ามือลงบนกำแพงสีดำสนิท
เนิ่นนาน
เขาก็ผละมือออกมาด้วยสีหน้าที่แฝงด้วยความผิดหวังอยู่หลายส่วน
เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่หาได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้ไม่
ที่นางสงสัยมีแค่ว่า เหตุใดในหมู่คนที่ยืนอยู่ที่นี่ มีเพียงนางที่ได้ยินเสียงฉินนั่นคนเดียว?
อีกอย่าง ในตอนที่มือของนางวางทาบลงไปบนกำแพง เสียงฉินนั่นก็ดังชัดแจ๋วขึ้นมาในทันที ราวกับมันดังอยู่ข้างหูก็มิปาน
ในตอนที่นางปล่อยมือออก ความรู้สึกที่ว่าก็สลายหายไปทันควัน
นางสะกดกลั้นลมหายใจเพ่งสมาธิ ในหูยังคงได้ยินถึงสุ้มเสียงคล้ายมีคล้ายไม่มีนั่นได้จางๆ
เพียงแต่ว่าท่วงทำนองกลับมาทุ้มไพเราะเสนาะหู มิได้เผยแววสังหารดั่งก่อนหน้าอีก
หากมิใช่เพราะในปากยังคงอวลไปด้วยรสคาวเลือด ฉู่หลิวเยว่คงคิดแล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นแค่ภาพหลอนของตัวเอง
“เยว่เออร์ กำแพงนี้แปลกประหลาดนัก พวกเราระวังไว้หน่อยดีกว่า”
ฉู่หนิงขมวดคิ้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...