……….
เพียงนี้ยังนับว่าทำได้ยากแล้ว
ไม่ต้องคิดก็เข้าใจได้ว่า การคิดจะข้ามกำแพงนี้ไป ช่างทำได้ยากโดยแท้
ข้อแรก กำแพงที่ว่านี่สูงใหญ่เกินไป แถมผู้ฝึกตนที่อยู่ที่นี่มิอาจเหาะเหินเดินอากาศได้ อีกอย่างต่อให้ใช้ความสามารถอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาเหินอากาศ ก็มิอาจทำได้สำเร็จเช่นกัน
ฉู่หลิวเยว่ยังจำได้ขึ้นใจว่าก่อนหน้านี้หรงซิวเคยพูดเอาไว้ว่าครานั้นกำแพงนี่มีไว้เพื่อแบกอาณาเขตออกจากกัน
กำแพงที่ยังคงตั้งตระหง่านมาเป็นหมื่นๆ ปีได้ ไฉนเลยจะข้ามไปได้ง่ายดายปานนั้น?
อีกข้อหนึ่งก็คือ กำแพงนี้ไร้จุดสิ้นสุด สองฟากซ้ายขวาล้วนแต่มองไม่เห็นปลายทาง ทำให้ไม่มีแม้กระทั่งเสี้ยวความคิดที่จะอยากผ่านมันไปได้
ต่อให้พวกเขาห่างกับองค์ไท่จู่เพียงแค่กำแพงหนึ่งกั้น แต่การจะพบหน้ากันเกรงว่าคงมิเรียบง่ายขนาดนั้น
“เช่นนั้นนี่…”
ฉู่หนิงที่เข้าใจถึงความกังวลในใจของฉู่หลิวเยว่โดยพลันเองก็ขมวดคิ้ว
“ก็แปลว่า พวกเราต้องหาทางข้ามไปให้ได้?”
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“หากองค์ไท่จู่สามารถข้ามมาได้ เช่นนั้นผลลัพธ์ก็เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่…”
สำคัญอยู่ที่ว่า เรื่องนี้พูดง่ายทำยากนัก
ต่อให้องค์ไท่จู่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ ฉู่หลิวเยว่เองก็มิกล้ารับประกันว่าเขาจะสามารถรับมือเข้ากับกำแพงที่ว่าไหวหรือไม่
ครั้งหนึ่งพื้นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เคยฝังผู้แข็งแกร่งระดับเทพขั้นสูงและระดับเทพศักดิ์สิทธิ์มาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน
สงครามสะท้านฟ้าครานั้น ระดับเทพพากันล้มตาย แต่กำแพงนี้กลับยังคงตั้งตระหง่านผ่านลมฝนมาได้หลายหมื่นปี
เพียงข้อนี้ข้อเดียวก็เห็นถึงปัญหาจำนวนมากแล้ว
พวกเขาเหล่านี้ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นได้แค่มดปลวกเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่นวดหว่างคิ้วด้วยปวดหัวอยู่ไม่น้อย
ตอนนั้นกระแสวุ่นวายสลายสูญพาองค์ไท่จู่ไปอยู่ฟากโน้นได้อย่างใดกันหนอ…
“ช่างเถอะ รอให้องค์ไท่จู่ติดต่อมาก่อนค่อยว่ากัน”
พูดไปพลาง ฉู่หลิวเยว่ก็เดินเข้าไปยังเบื้องหน้าของกำแพงนั่นอีกครั้ง
“องค์ไท่จู่?”
นางตะโกนไปสองรอบ แต่มิได้รับการตอบกลับแต่อย่างใด
แท้จริงแล้วฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าระยะห่างระหว่างพวกนางกับองค์ไท่จู่ค่อยๆ ลดน้อยลงเรื่อยๆ
หากเดาไม่ผิดแล้วละก็ ตอนนี้องค์ไท่จู่น่าจะมุ่งหน้าเข้ามาใกล้กำแพงแล้ว
เพียงแต่ถูกกั้นด้วยกำแพงเช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าองค์ไท่จู่จะได้ยินเสียงเรียกของนางหรือไม่
ฉู่หลิวเยว่หยุดตะโกนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นเสียงดังมากกว่าเก่า
“องค์ไท่จู่?”
ตะโกนรอบนี้เสร็จ ฉู่หลิวเยว่ก็หยิบเอากระบี่หลงหยวนออกมา แล้วใช้กระบี่เคาะลงบนกำแพงให้เป็นจังหวะ
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่คิดว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ในที่สุดฝั่งตรงข้ามเองก็แว่วเสียงคุ้นเคยดังขึ้นมา
“เยว่เออร์?”
เป็นองค์ไท่จู่นั่นเอง!
นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่พลันสว่างเรืองรอง!
“องค์ไท่จู่! นี่ข้าเอง!”
ได้ยินแล้ว!
พวกเขาได้ยินเสียงของกันและกันแล้วจริงๆ!
“เยว่เออร์!”
ซั่งกวนจิ้งทาบมือข้างหนึ่งลงบนกำแพง
แม้ตลอดทางที่ผ่านมาจะผลาญแรงกายไปเกือบทั้งหมด กระทั่งสองขาเองก็สั่นระริกน้อยๆ แต่ตอนนี้เขาก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่อยู่
เยว่เออร์อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!
เดิมเขาเพียงแค่โอบกอดความหวังเล็กๆ นี่ไว้ คาดไม่ถึงเลยว่า…
“เยว่เออร์ เจ้าปลอดภัยดีใช่หรือไม่?”
ซั่งกวนจิ้งเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
เวลาที่พวกเขาแยกจากไม่นับว่านาน หากแต่สุสานสังหารเทพอันตรายมากล้น ประมาทนิดเดียวก็อาจจนมุมได้
ในช่วงระยะเวลานี้ เขาวิตกกังวลอยู่ตลอดด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องใดกับพวกเขา
“ข้าไม่เป็นไร หรงซิวคอยอยู่กับข้าตลอดทาง อีกอย่างข้าพบท่านพ่อแล้วด้วย แถมยังพาท่านพ่อกลับมาได้อย่างปลอดภัยด้วยหนา”
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่าในใจเขาเป็นกังวล จึงรีบบอกเล่าเรื่องราวให้เขาฟังโดยคร่าวทันที
“อีกอย่างคนผู้นั้นก็ถูกพวกข้าจัดการไปแล้วด้วย”
แม้ระหว่างทางจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็ออกมาดี
ซั่งกวนจิ้งจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกได้ในท้ายที่สุด ค่อยๆ ยันกำแพงพลางพาตัวเองนั่งลง
”เช่นนั้นก็ดี… เช่นนั้นก็ดี…”
ในตอนนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ถึงเพิ่งฟังออกว่าเสียงของเขาอ่อนระโหยโรยแรงและบางเบานัก ราวกับว่า… สภาพร่างกายของเขาย่ำแย่อย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...