………………..
ด้านนอกวิหารไท่ซวี ทุกคนก็กำลังรอคอยอยู่
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปยี่สิบกว่าวันแล้ว ยังเหลืออีกคนที่ยังไม่ออกมา
โหมวหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ
บรรยากาศในจัตุรัสก็ร้อนแรงขึ้นมาก
เพราะว่าสามคนก่อนหน้านี้ที่เพิ่งออกมาล้วนได้รับมรดกที่ไม่เลวเลย
ตั้งแต่คนแรกที่ออกมา จนกระทั่งเหลือห้าคนสุดท้าย พวกเขาทั้งสี่สามารถทำผลงานได้ดีที่สุด
ดังนั้นทุกคนจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เพียงแต่ว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด คนสุดท้ายก็จะได้รับมรดกออกมา และงานหมื่นคีรีก็จะเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์
แม้ว่าจะเทียบกับงานหมื่นคีรีครั้งก่อนๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าความกังวลว่าจะไม่ได้อะไรเลยอย่างในตอนแรก
ทั่วทั้งจัตุรัสแห่งนี้ คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าผ่อนคลายและยินดี คนกลุ่มเล็กๆ กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
“นี่ก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว โหมวซูก็ยังไม่ออกมาอีก เขาน่าจะได้รับมรดกระดับสูงที่สุดละมั้ง!”
“ข้าว่าน่าจะใช่! งานหมื่นคีรีครั้งก่อนๆ คนที่ออกมาเป็นคนสุดท้ายมักจะโดดเด่นมากที่สุด! และครั้งนี้โหมวซูก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น! เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ก่อนหน้านี้โหมวเซิงที่ออกมาเป็นคนแรกและได้รับมรดกมาด้วย นับว่าเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอันใด…”
ทันใดนั้นคนที่อยู่ด้านหลังก็แค่นหัวเราะออกมาด้วยท่าทีประหลาด
“นั่นก็ไม่แน่หรอก!”
กลุ่มคนเงียบไปครู่หนึ่ง
คนที่พูดคนนั้นเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาธรรมดา สีหน้าไม่พอใจ
“คนที่จะได้รับมรดกที่ดีจากวิหารไท่ซวีนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถระดับหนึ่ง ซึ่งมันส่งผลกระทบกับอนาคตของคนคนหนึ่ง แต่นั้นก็ไม่เสมอไป! คนบางคนถูกลิขิตให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่ง ต่อให้ครั้งนี้เขาแสดงผลงานได้ไม่ดี แต่หลังจากนี้เขาก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นมาแน่นอน! แต่บางคนแม้ว่าจะได้รับความรุ่งโรจน์ชั่วคราว แต่ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้น มันก็ยังไม่แน่!”
ตั้งแต่ที่โหมวเซิงได้รับมรดกของบรรพบุรุษมา เขาก็ดีใจแล้วภาคภูมิใจมาโดยตลอด แต่หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็รู้สึกระคายหูอย่างมาก
“พวกเจ้าอย่าลืมนะว่า ในปีนั้นประมุขของพวกเราไม่ใช่คนสุดท้ายที่ออกมา แต่ตอนนี้…”
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น และไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่ความหมายของประโยคนี้ ทุกคนกลับสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจน
มีคนบางกลุ่มที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และหันไปมองโหมวหยางอย่างไม่รู้ตัว
ความจริงแล้วคำพูดนี้ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ…
ในปีนั้น ประมุขโหมวหยางเข้าร่วมงานหมื่นคีรีพร้อมกับคนผู้นั้น อีกทั้งยังเข้าไปในวิหารไท่ซวีพร้อมกันด้วย!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ในงานหมื่นคีรีครั้งนั้น คนที่ได้ออกมาเป็นคนสุดท้าย ก็คือคนผู้นั้น!
โหมวเจิน!
ชื่อนี้กลายเป็นคำต้องห้ามภายในเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง
ทุกคนต่างเมินเฉยต่อชื่อนี้โดยไม่รู้ตัว เหมือนกับว่าไม่เคยมีคนชื่อนี้มาก่อน
แม้กระทั่งเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขา ทุกคนก็รู้สึกอ่อนไหวอย่างมากและไม่พูดถึงมันเลย
ตอนนี้ท่านประมุขได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว…
เหมือนกับเขาสามารถสัมผัสได้ว่าบรรยากาศนั้นมีอะไรผิดปกติไป คนที่พูดจึงตกใจขึ้นมาในทันที และค่อย ๆ หันไปมองโหมวหยางด้วยความหวั่นวิตกไม่สบายใจ
โหมวหยางก็มองมาทางนี้พร้อมรอยยิ้มจางๆ
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง”
“ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้าย ก็ไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนฆ่ากวางได้ คนที่สามารถหัวเราะได้เป็นคนสุดท้าย ถึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ไม่มีใครมีสิทธิ์พูดได้กว่าโหมวหยางอีกแล้ว
แต่ใครจะรู้เล่าว่า ต่อมาจะเกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น…
ความวุ่นวายเหล่านี้กลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างรวดเร็ว ทุกคนรีบเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยทันที
โหมวหยางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนสายตากลับมา ดวงตาหลุบลงต่ำเล็กน้อย
โหมวเจิน…
ต่อให้คนผู้นั้นจะตายไปเป็นพันปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงชื่อของคนผู้นี้ขึ้นมา ความเคียดแค้นและรังเกียจก็พวยพุ่งขึ้นมาเต็มอกอย่างไม่สามารถควบคุมได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...