………………..
โหมวหยางเป็นถึงประมุขเชียวหนา!
เหตุใดเขาถึงถูกคนในวิหารไท่ซวีไล่กวดจนสภาพดูไม่จืดเช่นนั้นได้เล่า?
ไหนจะบุรุษผู้นั้นอีก เขาเป็นใครกัน?
สายตาหลากหลายคู่พร้อมใจกันจับจ้องเป็นจุดเดียว
บุรุษผู้นั้นอายุอานามประมาณสี่สิบ มีใบหน้าเหลี่ยม ร่างกายสูงใหญ่กำยำเปี่ยมด้วยกล้ามเนื้อ ท่วงท่าการวางตัวชวนให้ประหลาดใจนัก
เขาเองก็เป็นเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเช่นเดียวไม่มีผิดเพี้ยน!
มีเพียงชายเสื้อคลุมสองข้างเท่านั้นที่ว่างเปล่า เหมือนว่าเขาเสียแขนทั้งสองข้างไปอย่างใดอย่างนั้น…
ทว่านี่มิได้กระทบต่อความน่าเกรงขามและสูงส่งบนร่างของเขาแต่อย่างใด
เขาเพียงแค่พุ่งเข้าไปในสนามรบ ก็ทำให้ผู้คนเกิดความยำเกรงและเคารพนับถือขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว!
บนจัตุรัสล้วนเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
ทุกคนต่างมองดูฉากนี้ด้วยความตะลึงงัน
ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งมีท่าทีโต้ตอบขึ้นมาในท้ายที่สุด
“นั่น นั่นมัน…”
ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทั้งสั่นอยู่นานทีเดียว มิได้เอ่ยนามนั้นออกมาแต่อย่างใด
ตอนนั้นเอง ในที่สุดโหมวหยางก็หยัดตัวลุกขึ้นมาได้ สองตาแดงก่ำจ้องเขม็งยังเบื้องหน้า มือกำหมัดแน่นจนกระดูกลั่น!
“โหมวเจิน! เป็นเจ้าอย่างที่คิดไว้จริงด้วย!”
เขาเอ่ยออกมาทีละคำ แต่ละคำล้วนเหมือนเล็ดลอดออกจากไรฟันก็มิปาน
“เจ้ายังไม่ตาย…จริงๆ ด้วย!”
แววตาของเขาทอประกายเกลียดชังลึกล้ำจนปิดไม่มิด!
โหมวเจินหัวเราะร่าออกมาดังลั่น
“เจ้ายังไม่ตายเลยนี่ โหมวหยาง ข้าจะตายได้อย่างใดเล่า? ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างดี คิดคำนวณหนี้ค้างชำระของเจ้าครานั้นไว้ละเอียดยิบเลยเทียว!”
ในใจของโหมวหยางราวกับถูกบางอย่างบีบรัดแน่น แววตาพลันทอประกายเรืองรอง
ทว่าอย่างใดเสียเขาหาใช่คนธรรมดาไม่
สามารถฝ่าวงล้อมในเหตุการณ์ครานั้นออกมาได้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่าประมุขคนก่อนอย่างเขาเก่งกาจเพียงใด
ดังนั้นความรู้สึกผิดในใจจึงมีอยู่แค่ชั่วครู่ ไม่นานเขาก็ควบคุมสีหน้าของตนเองไว้ได้
เขาหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง ค่อยๆ ปาดเอาคราบเลือดตรงมุมปากออก
“หนี้แค้นครั้งนั้น? โหมวเจิน แม้ข้าจะคิดถึงมิตรภาพระหว่างเราในตอนนั้นมากแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเจ้าทำเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ต่อทั้งตระกูล บัดนี้ข้าเป็นประมุข ช่วยแก้ต่างให้เจ้าไม่ได้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นคงมิอาจยืนอยู่ฝั่งเจ้าได้อีก”
“หลายปีมานี้ ทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าหายสาบสูญ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะยังมุดหัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ ถึงขั้นที่ว่า… ซ่อนอยู่ในเสามังกรเคลื่อนของวิหารไท่ซวี! เจ้าแอบอยู่ในนั้นทั้งวันทั้งคืน หรือว่าในใจเจ้ามิเคยสำนึกผิดต่อบรรพบุรุษ ต่อคนในตระกูลบ้างเลยอย่างนั้นหรือ!?”
ทันทีที่คำพูดนี้สิ้นสุด ฝูงชนต่างพากันส่งเสียงกระหึ่มดัง!
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้… ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ครานั้นโหมวเจินไม่เพียงแต่รอดชีวิต แต่ยังคอยหลบซ่อนอยู่ในวิหารไท่ซวีอีกต่างหาก!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาคือโหมวเจิน… ยโสโอหังปานนี้เหมือนข่าวลือไม่มีผิด… จริงสิ มิใช่ว่าครานั้นร่างของเขาสลายวิญญาณมอดไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดภายหลังถึงได้… ไหนจะเสามังกรเคลื่อนนั่นอีก ปกติแล้วตลอดชีวิตนี้คนในตระกูลจะเข้าไปในนั้นได้แค่ครั้งเดียว มิใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าไปแล้วหรือ เหตุใดภายหลังถึงได้เข้าไปซ่อนในนั้นนานเป็นพันปีเทียวเล่า?”
“พูดไปก็ถูกหนา! อีกอย่าง พันปีมานี้ พวกเราจัดงานหมื่นคีรีมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เหตุใดถึงมิเคยสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเขากัน?”
“เขาเป็นคนบาปของตระกูล แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ก็ยากเย็นแล้ว อุตส่าห์มีชีวิตอยู่ได้มาถึงตอนนี้ เหตุใดถึงได้คิดเปิดเผยตัวตนขึ้นมาหนอ?”
…
ผู้คนจำนวนมากต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาอยู่ในลานจัตุรัส
ทั้งยังมองเห็นสายตาของคนพวกนั้นได้อย่างแจ่มแจ้งด้วย
ทว่าดวงหน้าของเขากลับมิปรากฏแววโกรธเกรี้ยวเลยสักเสี้ยว กลับกันเขากลับยิ้มขึ้นมา
ภาพฉากนี้ออกจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยโดยแท้
พันปีก่อน คนพวกนั้นก็กล่าวหา ลงดาบ และส่งเขาลงสู่ขุมนรก ณ ที่ตรงนี้
แท้จริงแล้วเขาจำรายละเอียดมากมายในตอนนั้นได้ไม่ชัดเจนแล้ว
ทว่าเขายังคงจดจำความโกรธแค้นและไม่ยินยอมครานั้น รวมถึงความรู้สึกที่ตนถูกหักหลังและได้รับความอยุติธรรมอย่างใหญ่หลวงได้ชัดเจนและลึกล้ำไม่ผิดเพี้ยน
เวลาเนิ่นนานคล้อยผ่านไร้จุดจบ พอมาบัดนี้ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อีก เขาก็รู้สึกโล่งใจยิ่งนัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...