………………..
ยามโหมวเจินเอ่ยปากก็แฝงด้วยแรงกดดันมหาศาลเปี่ยมพลังรุนแรง ทำให้บรรดาฝูงชนที่อยู่โดยรอบพากันชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
“ตอนนั้นเจ้าสังหารคนในเผ่าเราไปเจ็ดคนอย่างเลือดเย็น นี่คือความผิดข้อแรก!”
“จากนั้น เจ้าก็ฉวยโอกาสตอนที่ข้ากำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานของการบุกทะลวงลงมือโจมตีข้า ทั้งยังผลักเอาการตายของคนในเผ่าทั้งเจ็ดคนมาไว้ที่ข้า นี่คือความผิดข้อสอง!”
“สุดท้าย เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าถูกขังอยู่บนยอดเขาสัตตบงกช บีบบังคับชิงเอาพลังแห่งสายเลือดของข้าไปเพิ่มพูนทักษะของตัวเอง! นี่คือความผิดข้อสาม!”
“โหมวหยางเอ๋ย แต่ละเรื่องที่ข้าเอ่ยมานี้ มีเรื่องไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ทำ!? ก่อบาปมหันต์หลายต่อหลายคราเอย แบกรับชีวิตคนในเผ่ามากมายเอย เจ้ายังมีหน้ามาสอบสวนข้าอีกหรือ!?“
สีหน้าของโหมวเจินเย็นยะเยือก สายตาดุจใบมีดแหลมคมจับจ้องโหมวหยางอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนเอ่ยถากถางโดยมิคิดปิดบัง
“ข้าเองก็อยากถามเจ้า ที่เจ้าเหยียบย่ำกระดูกและเลือดเนื้อของคนในเผ่าเพื่อไต่สู่ตำแหน่งประมุข หลายปีมานี้ เจ้านั่งอย่างสงบจิตสงบใจไปได้อย่างใด!”
เสียงของโหมวเจินกระจายไปทั่วจัตุรัสอันกว้างใหญ่ ตกกระทบเข้าหูของคนทุกผู้อย่างชัดเจนจนหาสิ่งใดเทียบไม่ได้!
ทุกอย่างเงียบกริบลงในฉับพลัน!
ทุกคนต่างพากันหันมองโหมวหยางโดยไม่รู้ตัว
นี่…
มิใช่ว่าตอนนั้นบอกว่าเป็นโหมวเจินกระทำเรื่องพวกนี้หรอกหรือ? แล้วมันเกี่ยวอันใดกับโหมวหยางด้วยเล่า?
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาเหล่านั้น โหมวหยางก็กัดฟันกรอด!
ท้ายที่สุดก็มิอาจขัดขวางไม่ให้โหมวเจินเล่าเรื่องพวกนั้นออกมาได้!
แต่โชคยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาเตรียมสภาพจิตใจมาดีพร้อม ดังนั้นตอนนี้จึงสามารถควบคุมสีหน้าและปฏิกิริยาของตัวเองเอาไว้ได้อยู่หมัด
เขาทำราวกับได้ยินเรื่องตลกชวนขบขันก็มิปาน จากนั้นหัวเราะออกมาเสียงเย็น
“โหมวเจิน เจ้าพูดจาเหลวไหลบ้าบออันใดกัน? คนในเผ่าเจ็ดคนนั้นตายในเงื้อมือเจ้า อีกทั้งหลักฐานในครานั้นก็สรุปแล้วว่าเป็นเจ้าที่ทำจริงแท้แน่นอน ปฏิเสธอย่างใดก็ดิ้นไม่หลุด! เรื่องนี้น่ะตัดสินจบไปนานแล้ว บัดนี้เจ้ากลับมาพูดว่าเป็นข้าที่สังหารคน? นี่ออกจะน่าขันไปหน่อยแล้วกระมัง!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะมีเหตุผลอันใดถึงต้องเปลืองแรงมาหาเรื่องใส่ร้ายเจ้าด้วยเล่า?”
คิ้วกระบี่ของโหมวเจินเลิกขึ้นน้อยๆ
“เหตุผลหรือ… มิใช่ว่าตัวเจ้าเองรู้ดีที่สุดหรอกหรือ? ครานั้นเจ้ามีทักษะแค่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้ไม่มีข้า คนในเผ่าที่โดดเด่นกว่าเจ้าก็ไม่มีน้อย เหตุใดตอนนี้ตำแหน่งประมุขมาตกถึงมือของเจ้าได้เล่า!?”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกถามออกไป ก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยสีหน้าเปลี่ยนทันควัน
แท้จริงแล้วมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสัยในเรื่องนี้มาโดยตลอด
ตอนนั้นโหมวหยางมิอาจนับได้ว่าเป็นตัวตนที่อยู่ระดับแนวหน้าของเผ่าได้จริงๆ
งานหมื่นคีรีที่ถูกจัดขึ้นบนยอดเขาสัตตบงกช อย่างมากที่สุดก็อยู่แค่ระดับกลางค่อนสูง
ทว่าหลังจากงานหมื่นคีรี ทักษะและความสามารถของเขาก็พุ่งทะลุฟ้า
ทุกคนต่างพร้อมใจกันคิดว่านี่ล้วนเป็นเพราะโหมวหยางได้สืบทอดพลังอันแข็งแกร่งหลังจากเข้าไปในวิหารไท่ซวีตอนร่วมงานหมื่นคีรี
ก่อนหน้านี้ใช่ว่าในเผ่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนเดียวที่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงจนเห็นได้ชัดที่สุด
เขาเริ่มก้าวข้ามคนในเผ่าที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งโหมวเจินในตอนนั้นก็หายสาบสูญ เขาจึงไร้คู่แข่งและกลายเป็นผู้ที่โดดเด่นน่าจับตามองที่สุด!
ภายหลังตำแหน่งประมุขย่อมตกอยู่ในเงื้อมือของเขาไปโดยปริยาย
มาบัดนี้โหมวเจินกลับพูดว่าตอนนั้นโหมวหยางชิงเอาพลังแห่งสายเลือดของเขาไป…
พอมาคิดดูดีๆ ก็ใช่ว่า… จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว!?
โหมวหยางรับรู้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนแปลงไปในทันที
ส่วนลึกในจิตใจเขาพลันบังเกิดความกระวนกระวาย ทว่าบนดวงหน้ากลับยังคงฉาบความเรียบนิ่งเอาไว้ได้ เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ย
“เจ้าจะบอกว่าข้าแย่งชิงพลังแห่งสายเลือดของเจ้าไป? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เล่า!?”
ไม่มีพลังแห่งสายเลือดช่วยประคับประคอง เขาก็ตายไปนานแล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...