………………..
โหมวหยางถึงกับพูดไม่ออก
โหมวฝูซานจ้องตาเขาเขม็งด้วยสายตาคมปลาบดุจมีด ราวกับชำแหละเขาออกมาดูจนหมดจด!
จังหวะนั้นเอง โหมวหยางก็รับรู้ได้ว่าโหมวฝูซานไม่เชื่อเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาหลบสายตาของโหมวฝูซานโดยไม่รู้ตัว
ทว่าบัดนี้สายตาที่จับจ้องมาจากทั่วทุกสารทิศคล้ายมีคล้ายไม่มีมาอยู่รวมกัน ทำให้เขารู้สึกอยู่ไม่สุข
ความรู้สึกกระวนกระวายยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
ลมหายใจของโหมวหยางถี่กระชั้นขึ้น ใจเต้นกระตุกรัวแรง ส่วนอาการบาดเจ็บบนร่างเองก็รุนแรงจนทานทนแทบไม่ไหว
…
โหมวฝูซานเบนสายตากลับมามองโหมวเจิน
ทว่าในใจของเขามีข้อตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาคุ้นเคยกับทั้งโหมวเจินและโหมวหยางมาแต่ไหนแต่ไร
โหมวเจินในตอนนี้ดูเผินๆ อวดดีมุทะลุดั่งวันวาน หากแต่สายตากลับมั่นคงแลสงวนท่าทีมาตั้งแต่ต้น ไหนเลยจะมีสิ้นสติไปได้?
กลับกัน เป็นโหมวหยางต่างหาก
ตั้งแต่รู้ว่าหรงซิวและซั่งกวนเยว่ลอบออกจากยอดเขาสัตตบงกช แล้วเข้าไปในเสามังกรเคลื่อนของวิหารไท่ซวี ท่าทีของเขาก็ดูผิดแผกไปจากเดิมอย่างมาก
เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ไม่เพียงแต่โมโหร้ายฉุนเฉียวง่าย ทั้งยังใจร้อนและระแวดระวังมากกว่าเก่า
หลังจากเห็นโหมวเจินปรากฏตัว ปฏิกิริยาเหล่านี้ก็ดำเนินไปสู่จุดสูงสุด
หากตอนนั้นโหมวหยางบริสุทธิ์จริง เหตุใดต้องขัดมิให้โหมวเจินพูดจบด้วย? เหตุใดถึงไม่ยอมให้พวกเขาตรวจสอบหาความจริงให้ชัดเจน?
คำตอบปรากฏฉายชัดออกมาแล้ว!
…
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน… แล้วจริงๆ …”
เขากำมือเข้าหากันเบาๆ รับรู้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านอยู่ข้างใน ก่อนถอนใจออกมาแผ่วเบา
ครานั้น โหมวหยางจงใจลงมือในตอนที่ร่างกายของเขาอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด จึงกระทำการสำเร็จได้
เขาเองก็เคยแก้ต่างให้ตนเอง น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่มีผู้ใดเชื่อเขาเลย
ต่อให้เขาอยากจะแก้แค้น ตัวเองก็ตกอยู่ในสภาพเหมือนเชือกที่ขาดวิ่น ไร้พลังและหมดหวัง
สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่เลือกกบดานอยู่ในเสามังกรเคลื่อน
การกบดานที่ว่ากินเวลายาวนานหลายพันปี!
เขาเคยคิดว่าตัวเองคงไม่มีหวังจะได้ออกมาแล้ว
ทว่าโชคยังดี…สวรรค์คงเมตตา จึงประทานโอกาสมาให้เขาอีกครั้งหนึ่ง!
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มแสงสีทองประกายม่วงข้างกายถวนจื่อพลันเกิดความเคลื่อนไหว!
บรรยากาศสั่นสะเทือน กระแสพลังสาดซัด
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองด้วยสายตาวูบไหว
จากนั้น มือเรียวยาวข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากภายในกลุ่มแสงนั้น
ถวนจื่อพลันเบิกตากว้าง!
มือ!?
มือมนุษย์อย่างนั้นหรือ!?
นี่ นี่…
ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของนาง เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งก็ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มแสงสีทองประกายม่วง
นั่นคือชายหนุ่มอายุอานามประมาณยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเห็นจะได้ ดวงหน้าตอบ เครื่องหน้ากระจ่างลึกล้ำ
หว่างคิ้วของเขาประดับด้วยเส้นขีดแนวนอนสีทองม่วงอันเพิ่มให้เขาชวนหลงใหลอย่างน่าประหลาดขึ้นไปอีก
เขามีรูปร่างที่สูงมาก สวมชุดคลุมยาวสีดำ ขับเน้นให้ไหล่เขาดูกว้างเอวดูคอด สูงโปร่งยิ่งกว่าเก่า
ดวงตาทรงผลองุ่นของถวนจื่อจ้องมองกลมแป๋ว นิ้วมือเล็กป้อมชี้ไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะพูดอึกอักอย่างหาได้ยาก
“จะ จะ… เจ้าคือจื่อเฉินหรือ?”
จื่อเฉินได้ยินดังนั้นจึงตวัดสายตามองตามไปด้วยสีหน้าเฉยชา
“ก่อนหน้านี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก”
เขาเอ่ยขอบคุณถึงทุกสิ่งที่ถวนจื่อทำเพื่อช่วยเขา
จื่อเฉินมีนิสัยเฉยชาและพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร กว่าจะพูดออกมาสักประโยคใช่ว่าจะหาดูได้โดยง่าย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...