………………..
ชั่วขณะนั้น ก็มีแรงกดดันมหาศาลอันเกรียงไกรสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วโลกา!
บรรดาฝูงชนเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงที่ยืนอยู่ในจัตุรัสล้วนหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็ทยอยคุกเข่าลงข้างหนึ่งทีละคน!
“ยินดีต้อนรับท่านบรรพชน!”
ชั่วพริบตา ทุกคนในจัตุรัสก็พากันคุกเข่าลงข้างหนึ่ง!
รวมถึงพวกโหมวฝูซานที่น้อมตัวลงคำนับด้วยท่าทียำเกรงอย่างมาก!
มีเพียงโหมวหยางมองเงาร่างมหึมาที่ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและตกตะลึง
ในหัวของเขาพลันขาวโพลน
บรรพชน…
นี่คืออำนาจแห่งบรรพชนจริงๆ!
บรรพชนของไท่ซวีเฟิ่งหลงนั้นจากไปตั้งแต่อดีตกาลแล้ว
ทว่าในตอนนั้น ท่านผู้นั้นจงใจทิ้งลมปราณสายหนึ่งไว้ที่วิหารไท่ซวีเพื่ออำนวยพรแก่คนทั้งเผ่า
ยามคนในเผ่าเข้าไปในวิหารไท่ซวี ต่างก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันและลมปราณคล้ายมีคล้ายไม่มีสายนี้
ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมาก
และด้วยเหตุนี้นี่เอง ทันทีที่เงาร่างนั้นปรากฏขึ้น ลมปราณไร้ขีดจำกัดที่แผ่ขยายทำให้ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ยอมสยบลงทีละคน!
โหมวหยางสองขาสั่นระริก รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง จวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่ ราวกับสามารถทรุดตัวลงพื้นด้วยยืนหยัดไม่ไหวได้ทุกเมื่อ
เขารู้แก่ใจว่าฉากที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นแปลว่าอันใด
…การสืบทอดจากบรรพชนยังคงติดตัวโหมวเจินอยู่จริงๆ!
อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้ว มีความเป็นไปได้มากว่าโหมวเจินจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วด้วย!
เหตุใด…
“โหมวหยาง เจอหน้าบรรพชนแล้วเหตุใดยังไม่คุกเข่าลงอีก!?”
โหมวหยางพลันได้สติกลับคืน สีหน้าของเขาซีดเผือด
มิรอให้เขาได้โต้กลับ เงาร่างของไท่ซวีเฟิ่งหลงที่ตั้งมั่นอยู่กลางอากาศพลันกู่ร้องคำรามลั่นผืนฟ้า!
โฮก!
กระแสพลังอันหนักหน่วงหาสิ่งใดเปรียบมิได้กดทับบนไหล่ของโหมวหยางอย่างแรง!
ปึก!
ร่างของเขาสั่นไหวน้อยๆ สองเข่าทรุดลงกับพื้นอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นเสียงดังก้อง!
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เสียงกระดูกแตกหักก็ดังลั่นตามมาด้วย
กระแสพลังสายนั้นแข็งกร้าวนัก ทันทีที่เข่าของโหมวหยางกระแทกลงพื้นดิน บริเวณโดยรอบพลันบังเกิดรอยแตกร้าวขยายไปทั่ว
ร่างของเขาสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งกว่าเก่า สีหน้าเองก็ทวีความขาวซีดขึ้นไปอีก
…อำนาจแห่งบรรพชนมิอาจดูแคลนได้โดยแท้ เพียงแค่นี้ กระดูกหัวเข่าของเขาก็แตกร้าวแล้ว!
บรรดาฝูงชนที่ได้ยินสุ้มเสียงนี้ต่างก็ทยอยกันหันไปมอง
ครั้นมองเห็นสภาพอันดูไม่จืดของโหมวหยางในยามนี้แล้ว ทุกคนล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันไป
ใครจะไปคาดคิดได้เล่าว่าประมุขที่เปี่ยมด้วยเกียรติและน่าเกรงขามมาโดยตลอดอย่างโหมวหยาง วันหนึ่งจะตกอยู่ในสภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ได้
อำนาจแห่งบรรพชนที่มาเยือนเข้าลงทัณฑ์โหมวหยางอย่างจัง
ด้วยเหตุนี้ บรรดาฝูงชนจึงไม่กล้าเข้าใกล้เขายิ่งกว่าเก่า ทั้งยังไม่กล้าช่วยพูดแทนเขาแม้แต่ครึ่งคำ
แม้นตำแหน่งประมุขจะมีฐานะในเผ่าสูงส่ง แต่สถานการณ์บัดนี้กลับแตกต่างออกไป
โหมวหยางใช้วิธีการอันเสื่อมเกียรติอย่างเห็นได้ชัด ฉวยชิงเอาพลังแห่งสายเลือดส่วนหนึ่งของโหมวเจินไป แล้วใช้มันขึ้นครองตำแหน่งประมุข
ลำพังแค่ความจริงข้อนี้ ก็เพียงพอให้ผู้อาวุโสทั้งเก้าร่วมกันปลดเขาลงจากตำแหน่งประมุข
…
โหมวเจินมองไปยังฝ่ายโหมวฝูซาน
“เชิญผู้อาวุโสทุกท่านลุกขึ้นก่อนเถิด ส่วนเรื่องราวต่อจากนี้ คงต้องขอให้พวกท่านในที่แห่งนี้ช่วยเป็นพยานด้วย”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลายรวมถึงตัวโหมวฝูซานต่างสบสายตากันไปมา จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยท่าทีกระสับกระส่าย
มิใช่ว่าพวกเขาขี้ขลาด แต่วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งยังน่าหวาดหวั่นจนถึงขั้นเกินไปเสียด้วยซ้ำ!
หากพูดออกไปแล้ว เกรงว่าคงมิมีใครเชื่อ!
สุดท้าย สายตาของพวกเขาจึงจดจ้องไปที่โหมวฝูซานเป็นตาเดียว
เขานับว่าเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในที่แห่งนี้ วาจาของเขาย่อมหนักแน่นที่สุด
ดังนั้นให้เขาเป็นผู้ออกหน้าย่อมเหมาะสมที่สุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...