………………..
“ตอนนี้ข้าว่าเรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาว พวกเรามุ่งหน้ากลับไปพระราชวังเมฆาสวรรค์ก่อน แล้วค่อยคุยกันระหว่างทางเถิด”
ฉู่หลิวเยว่กล่าว
พวกซั่งกวนจิ้งเห็นว่าสภาพของนางและหรงซิวดูไม่แย่ จึงพากันผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย
คนกลุ่มนี้จึงเดินทางมุ่งตรงกลับไปยังพระราชวังเมฆาสวรรค์ด้วยประการฉะนี้
…
ระหว่างทาง ฉู่หลิวเยว่ก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลานี้โดยคร่าวให้พวกเขาฟังไปรอบหนึ่ง
“… เรื่องราวก็เป็นประมาณนี้”
ระหว่างที่เล่า ฉู่หลิวเยว่พยายามเล่าให้เรื่องฟังดูเรียบๆ อย่างสุดความสามารถ ทั้งยังตัดเรื่องราวออกไปตั้งมากมาย
ทว่าหลังเอ่ยจบ พวกซั่งกวนจิ้งทั้งสามคนต่างจมดิ่งสู่ความตระหนกตกใจอันมากล้น
หลังจากที่เงียบกันไปพักใหญ่ คนทั้งสามก็พร้อมใจกันยิงคำถาม
“พวกเจ้าได้เจออัจฉริยะของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงเมื่อหมื่นปีก่อนอย่างโหมวเจินผู้นั้น แล้วยังช่วยเขาหลอมกายเนื้อขึ้นมาใหม่หรือ?”
“ประมุขเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง โหมวหยางไม่เพียงแต่ถูกปลดจากตำแหน่งประมุข ยังกลายเป็นคนพิการอีกหรือ?”
“พวกเจ้าเป็นพันธมิตรกับประมุขคนใหม่ของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลง แล้วเขายังมาส่งพวกเจ้าด้วยตัวเองอีก?”
…
มิน่าแปลกที่คนทั้งสามมีข้อสงสัยมากมายปานนี้ ด้วยเรื่องราวพวกนี้ชวนให้ตื่นตกใจมากโดยแท้
อย่างใดเสียทั้งสามคนนี้ล้วนเคยประสบพบเจอเรื่องราวใหญ่โตมาไม่น้อย ทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาใหญ่โตปานนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าเรื่องพวกนี้มันน่าหวาดผวาสำหรับพวกเขามากเพียงใด
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปฏิกิริยาโต้ตอบของพวกเขาเองก็นับเป็นเรื่องปกติ
สิ่งที่ฉู่หลิวเยว่พูดมาเมื่อครู่ทั้งหมด หากแพร่งพรายออกไปโดยไม่คิดแล้วละก็ อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้เลย!
เมื่อเผชิญกับคำถามของคนทั้งหลาย ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออกอยู่มากทีเดียว แต่ก็ยังกลั้นใจอธิบายทุกอย่างให้ละเอียด
“… เมื่อครู่ข้าพูดไปแล้วว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง มิเช่นนั้นพวกข้าจะออกมาจากเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวลเช่นนี้หรือ?”
คนทั้งสามต่างพูดไม่ออก ก่อนจะสบสายตากันอย่างจนปัญญา
นี่ก็จริง
ไม่ว่าพวกเขาทั้งสองจะมีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่จะผ่านเขตแดนของเกาะมังกรศักดิ์สิทธิ์เข้าไปได้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง หนานซู่ไหวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้พลางส่ายศีรษะ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! พวกเจ้าหาวิธีการพาตัวเองออกมาได้อยู่แล้ว เลยไม่ได้กลับมาทางค่ายกลเคลื่อนย้ายสินะ”
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด
“ทำให้ท่านอาจารย์ต้องเป็นกังวลแล้ว”
หนานซู่ไหวหัวเราะร่า สีหน้าเต็มไปด้วยความทะนงองอาจ
“พูดอันใดแบบนั้นเล่า! อาจารย์ยินดีกับเจ้าช้าไปต่างหาก! เยว่เออร์ของพวกเราโดดเด่นเกินใครจริงๆ!”
นี่เป็นเรื่องที่คนธรรมดาจะกระทำได้สำเร็จหรือ?
ก็มีแค่สองคนนี้ที่เข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้นแหละจึงจะทำเช่นนี้ได้!
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ไม่รู้ว่าจะมีคนอ้าปากค้างด้วยความตกใจมากมายเท่าไร แล้วทำให้คนอีกมากเท่าใดต้องลอบอิจฉาและถอนใจด้วยความตื่นตะลึง!
หนานซู่ไหวรู้สึกปลื้มปิติจากใจจริง
หลายปีมานี้ แม่หนูเยว่เออร์เองก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเรื่อยๆ!
“ในเมื่อเรื่องของเผ่าไท่ซวีเฟิ่งหลงอยู่ตัวแล้ว อีกทั้งพวกเจ้ายังผูกมิตรกับโหมวเจินไว้ได้อีก เช่นนั้นภายหลังก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฝั่งไท่ซวีเฟิ่งหลงแล้ว แบบนี้… ก็นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายได้กระมัง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...