………………..
ทหารทั้งสองคนสบตากันครู่หนึ่ง
“ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่จวน ก็ไม่มีอันใดเปลี่ยนเลยขอรับ”
หนานอีฝานถามขึ้นอีก
“สองวันมานี้มีผู้ใดมาหรือไม่”
ทหารทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
“นอกจากผู้อาวุโสหนานเยีย ก็ไม่มีผู้ใดมาขอรับ”
ผู้อาวุโสหนานเยียคือหมอเทวดาท่านนั้นที่หนานอีฝานเชื่อใจเป็นที่สุด นอกจากนี้คนที่อยู่ในสุสานเทพสังหาร ก็มีแค่เขาคนเดียวที่รู้เรื่องสภาพร่างกายของหนานอวี่สิง
หลังจากพวกเขากลับมา หนานอีฝานได้ฝากฝังหนานอวี่สิงไว้กับเขา
เพียงแต่ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ แม้ว่าบาดแผลภายนอกบนตัวของหนานอวี่สิงจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ทว่าบาดแผลภายในยังคงไม่ดีขึ้นเลย
หากเส้นพลังปราณเดิมถูกทำลาย คงยากที่จะฟื้นคืนกลับมาได้
หนายอีฝานก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
…
ในเวลานี้เป็นยามเที่ยงที่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาพอดี
หนานอีฝานไม่ทันเคาะประตูก็ผลักประตูตรงเข้าไป
ขณะที่เขาก้าวเข้าไปกลิ่นยาฉุนแรงอย่างมากแตะเข้าจมูกในทันทีจนเกือบจะทำให้เขาหายใจ ไม่ออก
หนานอีฝานขมวดคิ้วขึ้นและมองไปรอบๆ ห้อง
หน้าต่างถูกลงกรนทุกบาน เมื่อมองดูทั่วทุกมุมห้องแล้วนั้นช่างมืดมนอับแสง
ลมหายใจมีแต่กลิ่นคาวเลือดจางๆ ปะปนกับกลิ่นฉุนแรงของยาเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
เมื่อผ่านฉากกั้นห้องไปจึงมองเห็นหนานอวี่สิงนอนอยู่บนเตียง
สภาพของหนานอวี่สิงนั้นดูย่ำแย่ว่าหนานอีอีเสียอีก
ขณะที่เขานอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ใบหน้าทั้งขาวซีดซูบเซียวและหนวดเครารุงรัง ริมฝีปากแห้งกรังจนหนังลอกและมีเลือดออกมาจางๆ
อย่างไรก็นับว่ามีใบหน้าที่หล่อเหลาอยู่เช่นเดิม ทว่าบัดนี้ใบหน้าของเขามีสีสันขึ้นมาบ้างแต่แก้มทั้งสองข้างยังดูซูบตอบลงอย่างเห็นได้ชัด
ลมหายใจเขาดูอ่อนแรง ราวกับคนแก่ที่ไม้ใกล้ฝั่งก็ไม่ปาน
คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหนานที่เคยวางมาดอวดดีเมื่อครั้งก่อนหายไปอยู่ที่ใดกัน?
เมื่อได้ยินเสียงของหนานอีฝานเข้ามาข้างใน ดวงตาของหนานอวี่สิงขยับไปมา แต่กลับมิอาจลืมตาขึ้นมาได้
หนานอีฝานเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างเตียงและจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวขึ้น
“เจ้าคิดจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดอย่างนั้นหรือ”
ขนตาของหนานอวี่สิงสั่นไหวจนท้ายที่สุดเขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าด้วยความยากลำบาก
ทว่าเขาไม่ยอมมองหนานอีฝาน เพียงแต่มองจ้องเพดานอย่างเหมอล่อยอยู่เช่นนั้น
นัยต์ตาว่างเปล่าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเย้ยหยัน
ผ่านไปชั่วครู่ เขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งอยู่ในลำคอ
“…มิเป็นเช่นนี้ แล้วจะเป็นเช่นไรกัน”
เขาเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
เดิมทีเมื่อก่อนเขามีชีวิตที่สุขสบายหนทางมีแต่ความสำเร็จรออยู่ข้างหน้า บัดนี้ชีวิตกลับตาลปัตรดำดิ่งลงสู่เหวลึก
เช่นนี้แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใดกัน
ในใต้หล้านี้คงไม่มีสิ่งใดแย่ไปกว่าการปล่อยให้คนๆ หนึ่งร่วงหล่นจากก้อนเมฆมาสู่โคลนตม และยิ่งทำให้ความตั้งใจของคนหนึ่งที่อยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
หนานอวี่สิงก็เป็นเช่นนี้
หนานอีฝานหยุดไปชั่วขณะ
“ผู้อาวุโสหนานเยียพยายามหาวิธีช่วยให้เจ้าฟื้นคืนเส้นพลังปราณเดิมมาโดยตลอด”
จู่ๆ หนานอวี่สิงก็หัวเราะออกมา
เสียงแผ่วเบาพูดขึ้นด้วยความประชดประชัน
“ท่านพ่อ หากผู้อาวุโสหนานเยียมีวิธีจริงๆ เหตุใดต้องรอจนถึงบัดนี้กันเล่า”
ไม่มีผู้ใดรู้สภาพร่างกายของตนเองได้ดีกว่าเขา
เส้นพลังปราณเดิมของเขาเสียหายอย่างมาก อย่างไรก็ไม่มีทางฟื้นคืนพลังได้
เมื่อพูดมาเช่นนี้ ต่อให้มีคำปลอบใจมากมายเพียงได้ก็ล้วนไม่มีความหมาย
แท้จริงแล้วเขาทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวมานานแล้ว
หนานอีฝานพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
เขาดูออกว่าเรื่องนี้มีผลกระทบกับหนานอวี่สิงอย่างมาก
หากไม่มีวิธีรักษาได้จริงๆ เกรงว่าครั้งนี้หนานอวี่สิงก็คงไร้ความสามารถอย่างแท้จริง
บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัด


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...