………………..
เรือนทุกหลังเงียบสงบลงในชั่วพริบตา
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงอยู่สักพักหนึ่งถึงได้มาเข้าใจความความหมายของสิบสาม
เขาบอกว่า…ไม่อยากไปสำนักหลิงเซียวหรือ
หนานซู่ไหวก็สับสนเล็กน้อย
เขายังไม่เคยจอกับสถานกาณ์แบบนี้มาก่อน
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ มิรู้ว่าต้องมียอดอัจฉริยะมากมายเพียงใดที่ฝึกฝนอย่างยากลำบาก ก็หวังว่าจะได้เข้าสำนักหลิงเซียวเพื่อนฝึกปราณ
มีหลายคนที่แทบจะมองสิ่งนี้เป็นเกียรติต่อตนเองและทั้งตระกูล
มิใช่เรื่องที่กล่าวเกินจริงที่ว่าสำนักหลิวเซียวเป็นสำนักศึกษาสูงสุดที่รวมผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นที่ล้วนแห่กันมาที่นี่
ทว่ามีเพียงพวกเขาที่มีส่วนในการคัดเลือกคนมาตลอด ยังไม่เคยถูกปฏิเสธเช่นนี้มาก่อน
“สิบสาม เจ้าเพิ่งจะมาอาณาจักรเสิ่นซวี่ได้ไม่นาน อาจยังมิรู้ว่าสำนักหลิงเซียวหมายถึงสิ่งใด”
ฉู่หลิวเยว่จัดการความคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่าสิบสามอายุยังน้อยอยู่บ้าง เรื่องที่พิจารณาไม่ผ่านถึงพูดออกมาเช่นนี้ได้ เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้วถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา
นางจ้องมองสิบสามและเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“สิบสาม นี่เป็นโอกาสที่หายากยิ่งนัก มีคนมากมายต้องการจะเข้าสำนัก แต่ยังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะสมเช่นนี้”
อันที่จริงนางไม่ได้คาดหวังให้สิบสามพลาดกับโอากาสที่ดีเช่นนี้ไป
แต่สิบสามกลับส่ายหัวๆ
“นายท่าน เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ ขอรับ”
ก่อนหน้านี้พวกพี่ใหญ่ได้มาพูดกับข้ามากมายเกี่ยวเรื่องของอาณาจักรเสิ่นซวี่
สำนักหลิงเซียวเป็นสำนักที่นายท่านเคยอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาล้วนทำความเข้าใจมาไม่น้อย
เขาไม่ต้องการไปจริงๆ
“ข้าไม่อยากจากพวกพี่ใหญ่ไป และก็ไม่อยากจากท่านไปด้วย”
…
ณ เรือนอีกแห่งหนึ่งของเขาฉางจื้อ
อู่เหยากำลังฝึกต่อสู้
น้องแปดกำลังทำถูโค่วตาน[1]
อวี๋จิ่วกำลังฝึกร่ายรำดาบไม้
สือฟัง…กำลังเกลี่ยดิน
เพิ่งจะมาถึงได้ไม่กี่วันก่อน เขาก็เริ่มทำไร่ทำสวนตลอด
บัดนี้บนหน้าดินมีต้นอ่อนต้นหนึ่งผลิบานออกมาอย่างสดใหม่และเขียวสด
“ยังมีผักที่ปลูกเอง กินแล้วสบายใจที่สุด!”
สือฟังยืดเอวขึ้นพลางเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า
เขาผู้นี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเขาจะกินแต่อาหารของตนเองเท่านั้น
ช่วงเวลานี้เขายุ่งอยู่กับการวิ่งวุ่นไปมาอยู่ตลอดจึงไม่มีเวลาทำเรื่องเหล่านี้เลย
ก่อนหน้าเขานำของที่กินมาไม่น้อยจากที่บ้าน หากต้องรอต้นที่เพิ่งปลูกลงไปพวกนั้นโตคงต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน
สือฟังมีชีวิตที่ยากลำบาก
แต่เมื่อได้เห็นต้นกล้าที่สดใหม่เหล่านั้น อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมาก
น้องแปดชำเลืองมองเขา
“ช่างเสแสร้งกว่าข้าเสียจริง”
จะว่าไปขั้นพลังปราณของสือฟังในตอนนี้ แม้จะกินแค่เดือนละมื้อก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
แต่เขาผู้นี้เป็นคนที่ระมัดระวังตัวอย่างมาก ทุกๆ วันต้องได้กิน!
อีกทั้งถ้าเขาไม่ได้ปลูกด้วยตัวเอง เขายอมอดตายและไม่ยอมกินอะไรทั้งสิ้น
“พี่หญิงแปด ทุกครั้งข้าเป็นคนทำอาหาร ท่านก็ไม่เคยพลาดเลยสักมื้อ”
น้องแปดจ้องมองเขาครู่หนึ่ง
“พูดให้น้อยๆ ลงหน่อย คงมิมีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้!”
ทางด้านอู่เหยาเพิ่งจะฝึกมวยเสร็จ ได้ยินคำนี้เข้าจึงถามอย่างอดไม่ได้ว่า
“เมื่อพวกเจ้ามาอยู่ด้วยกัน เกรงว่าแค่วันเดียวก็หยุดไม่ได้งั้นหรือ วันๆ เอาแต่ถกเถียงกัน พวกเจ้าไม่รำคาญ แต่หูของข้าจะหนวกอยู่แล้ว!
สองคนต่างไม่สนใจเขา
แต่อวี๋จิ่วกลับพูดแทรกขึ้นมา
“พี่ห้า ถึงอย่างใดไม่ว่าใครก็โน้มน้าวเขาไม่ได้ แล้วเหตุใดต้องทำเกินความจำเป็นทุกครั้งกันเล่า”
อู่เหยาเลิกคิ้วขึ้น
“ตั้งใจฝึกกระบี่ของเจ้าไปสะ!”
แต่อวี๋จิ่วกลับไม่ได้ถือสาจึงเก็บกระบี่ขึ้นมาพลางหัวเราะด้วยความซุกซน
“บังเอิญแล้วล่ะ ข้าก็ฝึกเสร็จแล้วพอดี!”

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...