นางลุกขึ้นทันทีและเดินไปที่ประตู
เมื่อนางเดินออกไปข้างนอก นางก็เห็นว่าในพื้นที่อันกว้างใหญ่นั้นช่างอ้าว้างวังเวงนัก
โดยเฉพาะบริเวณบนบันไดเวียนตรงกลางนั้นที่มีร่างในอาภรณ์สีขาวที่แสนคุ้นเคย
“หรงซิว?”
นางรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักนี้ แล้วเขาเข้ามาได้อย่างไร
ดูจากท่าทางเขาแล้ว เขาน่าจะกำลังขึ้นไปข้างบน
เมื่อหรงซิวได้ยินเสียงฝีเท้าและมองย้อนกลับไป แรงกดดันในดวงตาของเขาหายไปทันที และเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเจื่อน
“ท่านอ๋อง คำถามนี้น่าจะเป็นของข้ามากกว่า หอคอยจิ่วโยวมีเพียงศิษย์สำนักเทียนลู่เท่านั้นที่เข้ามาได้ พระองค์เข้ามาได้อย่างไรเพคะ”
แววตาของหรงซิวเป็นประกาย
“ข้ามาดูว่าสถานที่ที่เสด็จแม่ทรงโปรดปรานสมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร ข้าก็แค่เข้ามาเดินชมเท่านั้น เจ้ากลับไปฝึกฝนต่อไปเถิด”
ผู้อื่นอาจจะเชื่อคำพูดนี้ แต่ไม่ใช่กับฉู่หลิวเยว่
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ทว่านางก็รู้สึกเสมอว่าจุดประสงค์ของการมาที่สำนักเทียนลู่ของหรงซิวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
นางมองไปรอบๆ และพบว่านอกจากนาง ห้องอื่นๆ ก็ไม่มีผู้ใดอยู่เลยสักคน
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้พระองค์ทรงได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่าเพคะ” นางถามอย่างไม่มั่นใจ
หรงซิวดูเหมือนจะสงสัย
“เสียงอะไรหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หรือว่าหรงซิวจะไม่ได้ยินจริงๆ
คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ออกมากัน ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ
กระนั้นนางสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อครู่นี้นางไม่ได้หูแว่วอย่างแน่นอน!
นางได้ยินเสียงคำรามหวีดแหลมนั้นเต็มสองหู!
“หืม?”
หรงซิวเชิดคางขึ้น
“ขึ้นไปดูข้างบนด้วยกันกับข้าดีหรือไม่”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มให้แก่เขา
“ท่านอาจไม่ทรงทราบว่าหอคอยจิ่วโยวนี้มิได้ขึ้นกันไปง่ายถึงเพียงนั้น ข้าคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง ดังนั้นตอนนี้จึงยังมิสามารถขึ้นไปข้างบนได้ มีเพียงผู้ที่บรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปยังชั้นสองได้”
แม้ว่าตามความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางแล้ว การขึ้นไปยังชั้นสามไม่ใช่ปัญหา แต่นางยังไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นในเวลานี้
นางจงใจเหลือบมองไปที่หรงซิว แล้วเอ่ยหยอกล้อ
“ท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอ หม่อมฉันว่าทรงระวังหน่อยก็แล้วกัน”
หรงซิวเชิดริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย
นี่จงใจกระแนะกระแหนเขาเรื่องเมื่อวานนี้ชัดๆ
“ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะออกไปเอง”
หลังจากที่หรงซิวพูดจบ เขาก็เดินขึ้นข้างบนต่อไป
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาทั้งสองข้างเล็กน้อย
อันที่จริง นางพอจะเดาออกว่าบางทีสัตว์อสูรดุร้ายที่ส่งเสียงคำรามอย่างกะทันหันนั้น อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหรงซิวก็เป็นได้!
จากนั้นนางเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง นางกลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกเลย
ดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา
เวลานี้หรงซิวได้ขึ้นมาถึงชั้นสองแล้ว และเมื่อเขาก้าวขึ้นเขาก็หายตัวไปจากสายตาของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปที่ห้องฝึกของนาง
ความแข็งแกร่งของหรงซิวนั้นมิอาจหยั่งรู้ได้ ทว่าต้องมากเกินพอที่จะขึ้นไปบนชั้นสองได้อย่างสบาย
ถึงกระนั้นก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะไปถึงชั้นที่เท่าไหร่
แล้วเขามาที่นี่เพื่ออะไร
หลังจากปิดประตู ฉู่หลิวเยว่ก็นั่งขัดสมาธิหลับตาและเริ่มฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง
…
หรงซิวเดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ
เมื่อก้าวขึ้นไปที่ชั้นสอง เขาหยุดฝีเท้าและมองไปรอบๆ
จำนวนห้องชั้นนี้น้อยกว่าชั้นแรกอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งแต่ละห้องก็มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่กว่ามาก
ผู้อ่อนแอที่สุดที่สามารถมาฝึกชั้นนี้ได้คือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง
ปัจจุบันศิษย์ส่วนใหญ่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บ ดังนั้นชั้นแรกจึงไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ และชั้นสองก็ยิ่งเงียบเหงามากขึ้นไปอีก
หรงซิวยังคงเดินขึ้นไปเรื่อยๆ
ความกดดันบนชั้นต่างๆ ก็มีแตกต่างกันตามไปด้วย โดยทั่วไป ความก้าวหน้าในการฝึกฝนของนักเรียนจะช้าลงเมื่อมาถึงชั้นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามก็ยังต้องพยายามหลายครั้งเพื่อไปถึงหอคอยชั้นที่สามได้สำเร็จ
ทว่าฝีเท้าของหรงซิวก็สงบมั่นคงเหมือนเช่นเคย และเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนกระทั่งเขาข้ามขึ้นบันไดไปที่ชั้นสาม!
ทว่า…เขาก็ไม่ได้หยดอยู่เพียงเท่านั้น!
ตึก
ระหว่างทางที่หรงซิวเดินขึ้นไป ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้ใดเลย จนกระทั่งเขาขึ้นไปถึงชั้นหก
เมื่อมาถึงชั้นนี้ นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่เคยมีผู้ใดขึ้นมาถึงชั้นนี้เลย
แม้แต่อาจารย์ในสำนักก็ไม่สามารถทนต่อความรุนแรงของพลังแห่งฟ้าดินของที่แห่งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม สีหน้าท่าทางของหรงซิวยังคงเป็นปกติ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกอึดอัดกับพลังเหล่านี้เลย
เขาเปิดผนึกค่ายอาคมชั้นหกอีกครั้ง และในที่สุดเขาก็หยุดลง
เขาช้อนสายตามองขึ้นไปข้างบน
อันที่จริง สามชั้นบนนั้นก็มีค่ายอาคมอยู่เช่นกัน ถ้าหากมองจากตรงนี้ขึ้นก็มองไม่เห็นอะไรอยู่ดี
ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถมองทะลุผ่านพวกมันจนกระทั่งเห็นส่วนชั้นบนสุดได้
“ยังจะไปต่ออีกหรือไม่”
เสียงทุ้มและเย็นเยียบดังก้องไปทั่วชั้นที่หกที่ว่างเปล่า เสียงก้องกังวานนี้มาพร้อมกับพลังอำนาจอันเด็ดขาดที่มีเพียงผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเท่านั้นถึงจะมี
ไม่มีผู้ใดตอบคำถามนี้
“ผ่านมาหลายปี เจ้ายังคงเจ้าอารมณ์เหมือนเดิมเลยนะ”
หรงซิวมีสีหน้าเรียบนิ่ง
“หวีดๆ…”
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นมาพร้อมกับความบ้าคลั่ง แต่ก็ยากที่จะซ่อนความหวาดกลัว
แน่นอนว่าผู้ที่เขาเกรงกลัวก็คือหรงซิว
หรงซิวกำฝ่ามือเล็กน้อย จากนั้นกระแสพลังสีเงินก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ควบแน่นเป็นแส้ยาวที่เต็มไปด้วยหนามแหลม!
เขายกมือขึ้นแล้วฟาดลงไปอย่างไร้ความปรานี!
เพียะ!
แส้ยาวฝาดโดนค่ายอาคมของชั้นเจ็ดอย่างรุนแรง!
เสียงหวีดแหลมของพญาอินทรีดังขึ้นอีกครั้ง!
“แส้นี้ เพื่อลงทัณฑ์ที่เจ้าเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา”
เพียะ!
แส้ที่สองฟาดตามลงมาติดๆ!
“แส้นี้ คือลงโทษที่เจ้าวางแผนแย่งชิง!”
แววตาของหรงซิวเย็นเฉียบ แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า
“ถ้าหากว่าเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้าอีก แส้ที่สามนี้ต้องทำลายหยวนตันของเจ้าอย่างแน่นอน เข้าใจหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...