………………..
ฉู่หลิวเยว่มีท่าทีตกใจจนปิดไว้ไม่มิด
นางเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยมาแล้ว
ในบรรดาสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ลือชื่อ ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยนับว่าเป็นชิ้นที่ไม่สะดุดตาอย่างยิ่งยวดโดยแท้
เพราะมันไม่มีพลังต่อสู้อันใด จนแทบจะกลายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่พกพาได้อยู่รอมร่อ
นอกจากจะใช้ส่งคนในยามคับขัน ช่วยชีวิตคนแล้ว ในยามปกติมันก็แทบไร้ซึ่งประโยชน์ใดโดยสิ้นเชิง
อีกอย่างกระทั่งเรื่องนี้ ก็ใช่ว่าจะทำได้สำเร็จทุกรอบด้วย
ก่อนหน้านี้พวกลั่วเหยี่ยนเองก็แพ้พ่ายไปไม่ใช่หรือ
เพราะค่ายกลของท่าเรือดอกท้อพังทลาย ภาพวาดเมฆาล่องลอยจึงโดนลูกหลงจากฝั่งของฉู่หลิวเยว่ไปด้วย ท้ายที่สุดเลยตัดขาดจากพวกเขาไปอีกรอบ
มองเช่นนี้แล้ว ชื่อเสียงของสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยชิ้นนี้แบกไว้ก็ออกจะผิดเพี้ยนไปอยู่มากทีเดียว
ที่ฉู่หลิวเยว่ฉวยมันมาจากลั่วเหยี่ยน ความจริงแล้วก็เข้าหลักการทำนองว่า “มิอาจปล่อยปละละเลยสมบัติชิ้นใดไปได้” เสียมากกว่า
นอกเหนือจากนั้นก็คือมีความสงสัยใคร่รู้ปนอยู่ด้วยไม่น้อย
หากถามว่าคาดหวังอันใดจากของสิ่งนี้หรือไม่…
ก็ตอบได้ว่าไม่เลยจริงๆ
ตัวฉู่หลิวเยว่เองครอบครองหม้อน้ำเทวศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว อีกทั้งของสิ่งนี้ยังเป็นสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงขจรไกลมากที่สุดด้วย
ดังนั้นที่นางคอยจับตาดูของสิ่งอื่น แท้จริงแล้วก็มองไปอย่างนั้น
แต่ให้ตายอย่างใดนางก็คิดไม่ถึง…
ที่แท้ภายในภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยจะซ่อนงำความลับเช่นนี้เอาไว้!
ค่ายกลระดับสูงมากมายปานนี้เรียงรายแน่นขนัดอยู่รวมกันจะแปลว่าอันใดไปได้?
ยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเลือดตาแทบกระเด็น ระดมความคิดสุดความสามารถในการวางค่ายกล บางทียังดีไม่เท่าการแตะลงบนภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเบาๆ เช่นนี้ด้วยซ้ำ!
นี่คือการบดขยี้ขั้นพื้นฐานอย่างใดอย่างนั้น!
นี่ต่างหากเล่าคือสมบัติที่แท้จริง!
กระทั่งฉู่หลิวเยว่ที่เคยเห็นสมบัติเลอค่ามานับไม่ถ้วน ตอนนี้เองก็ตกตะลึงไปเช่นเดียวกัน
ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยนี้เกินกว่าที่นางจินตนาการไปมากโข!
หรงซิวแทบไม่เคยเห็นท่าทีตอบสนองเช่นนี้ของนางจึงใช้เวลาดื่มด่ำอยู่พักหนึ่ง ในใจชมชอบเสียจนเครียดเกร็ง อดทนแล้วอดทนอีก ถึงควบคุมตัวเองไม่ให้ไปลากคนกลับขึ้นเตียงได้
“ภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยถูกจัดอยู่ในสิบสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ได้ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว”
มุมปากของเขาอมยิ้ม ราวกับกำลังแผ่กระจายความคลุมเครือที่แฝงอยู่ไปทั่วใบหน้า
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะกลับไปมองเขา
“…เจ้ารู้อยู่แล้ว?”
หรงซิวหลุดหัวเราะพลางส่ายศีรษะ
“นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยเหมือนกัน แต่ข้ารู้อยู่แล้วว่าหนานอีฝานให้ความสำคัญกับของสิ่งนี้อย่างมาก บัดนี้เข้าใจเสียทีว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง”
มือของฉู่หลิวเยว่ลูบบนภาพวาดเมฆาเคลื่อนคล้อยไปมาแผ่วเบา
ค่ายกลสามอันนั้นก็พุ่งแวบกลับไปอย่างรวดเร็ว
กลับไปอยู่ในสภาพเดิมเหมือนก่อนหน้าทุกประการ
กระแสคลื่นในใจฉู่หลิวเยว่ยังคงกระหน่ำมิยอมสงบอยู่นาน
ตัวนางคือปรมาจารย์



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...