………………..
เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่มีสัตว์อสูรในพันธสัญญาสองตัวถือว่าไม่ใช่ความลับอันใด
ตอนที่หรงซิวคัดเลือกพระชายา มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นเหตุการณ์นั้นด้วยตนเองว่านางสามารถอัญเชิญอสูรศักดิ์สิทธิ์ออกมาสองตัวพร้อมกันได้
ตัวหนึ่งคือหงส์ทองคำ ส่วนอีกตัวหนึ่งคือ…อินทรีสามตา!
เรื่องเหล่านี้ หากมีคนไปสืบเพียงแค่เล็กน้อย พวกเขาก็จะรู้ได้ในทันที ก่อนที่อี้เหวินเทาจะมาที่นี่ เขาคอยสืบเรื่องของฉู่หลิวเยว่มาบางแล้ว
ตอนนี้เขาเห็นจื่อเฉิน เขาก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เข้าใจได้ในทันที
…แม่นางน้อยคนนี้ต้องเป็นกษายะหางวายุที่ทะลวงด่านเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน
แต่ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ด้านข้างผู้นั้น…จะต้องเป็นอินทรีสามตาแน่นอน!
คาดไม่ถึงว่ามันจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้จริงๆ…
แต่เรื่องเช่นนี้เขายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!
ใช่ว่าอี้เหวินเทาไม่เคยคำนึงถึงเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่มีสัตว์อสูรในพันธสัญญาสองตัว
แต่ต่อให้นางจะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญา แต่ก็ถูกจำกัดด้วยระดับความแข็งแกร่งของฉู่หลิวเยว่ พลังของพวกเขาจึงไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินไป
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีทางมาเปรียบเทียบกับเขาได้
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่ตอบรับคำท้าจากเขา ภายในใจของอี้เหวินเทาคิดว่าตนเองจะต้องชนะอย่างแน่นอน
แต่ใครจะรู้เล่าว่า อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของนางทั้งสองตัวจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้แล้ว!
ข้อมูลที่เขาได้รับมาใหม่ในตอนนี้มันมีมากเกินไปแล้ว!
นางสามารถทำได้ถึงขั้นนี้นั่นก็หมายความว่า อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวนี้มีพรสวรรค์และความแข็งแกร่งถึงขีดสุดแล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น…
อี้เหวินเทาแทบจะมั่นใจได้แล้วว่า พวกเขาต้องได้รับโอกาสที่น่ามหัศจรรย์อย่างแน่นอน!
ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นี้ล้วนเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง และเป็นคนที่มีชื่อเสียงภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่
พวกเขาเคยเห็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังต้องมึนงงไป
“ไม่หรอกมั้ง? นี่คืออินทรีสามตาอสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของฉู่หลิวเยว่ตัวนั้นน่ะหรือ? กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วหรือ?”
“…ไหนบอกว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้มีเพียงแค่อสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับบรรพกาลสองเผ่าไม่ใช่หรือ? แล้วตอนนี้มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น? ข้าเคยอ่านคัมภีร์โบราณมาไม่น้อย แต่เหมือนว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เลย…”
“ช้าก่อน! พวกเจ้าไม่คิดหรือว่าลมปราณบนร่างของจื่อเฉินนั้นแปลกประหลาดไป นอกจากลมปราณของอินทรีสามตาแล้ว เหมือนว่า…เหมือนว่า…ยังมีแรงกดดันที่แข็งแกร่งหลบซ่อนอยู่?”
“ข้าเองก็สัมผัสได้ แต่คิดไม่ออก…”
ในตอนที่ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเหล่านี้ จวินจิ่วชิงกลับนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วหันไปมองทางโหมวฝูซาน
ทันใดนั้นเองภายในสมองของเขาก็มีแสงสว่างวาบขึ้น
“นั่นคือไท่ซวีเฟิ่งหลง!”
เขาพูดโพล่งออกมา
สีหน้าของอี้เหวินจั๋วและคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
“ไท่ซวีเฟิ่งหลง จะเป็นไปได้…”
มีคนโต้เถียงขึ้นมาในทันที แต่เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงนั้นก็ต้องหยุดชะงักไป
เพราะว่าลมปราณบนร่างกายของจื่อเฉิน…เหมือนกับโหมวฝูซานอย่างมาก!
เหมือนกับว่าชิ้นส่วนหนึ่งได้เชื่อมต่อเข้าด้วยกันแล้ว
ภายในแววตาของจวินจิ่วชิงเหมือนกับมีความเข้าใจอันใดบางอย่าง
“หรือว่า…ที่โหมวเจินเดินทางไปยังพระราชวังเมฆาสวรรค์?”
ตอนที่หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่มีงานมงคลสมรส โหมวเจินที่ฐานะประมุขก็เดินทางไปแสดงความยินดีด้วยตนเอง
ตอนนั้นทุกคนล้วนตกใจเป็นอย่างมาก แต่กลับมีความสงสัยมากยิ่งกว่า ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปติดต่อคบค้าสมาคมกับไท่ซวีเฟิ่งหลงตั้งแต่เมื่อใด
จนมาถึงตอนนี้ จนได้พบกับจื่อเฉิน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว!
…ภายในร่างกายของจื่อเฉิน จะต้องมีพลังแห่งสายเลือดของไท่ซวีเฟิ่งหลงแน่นอน!
ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในสมอง โหมวฝูซานก็พุ่งตัวออกมาจากม่านพลัง แล้วมาหยุดยืนที่ด้านข้างของหรงซิว เขามองไปที่จื่อเฉินแล้วลูบเคราตนเอง ก่อนหัวเราะออกมา
“จื่อเฉิน ไม่ได้เจอกันแค่ไม่นาน เจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!”
จื่อเฉินก้มศีรษะทำความเคารพ
“ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณผู้อาวุโสโหมวเจิน”
เพียงแค่คำกล่าวทักทายสั้นๆ สองประโยคกลับทำให้บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกแช่แข็งไป
คำพูดเหล่านี้หมายความว่าอย่างใด?



VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...