“อะไรนะ”
จยาเหวินตี้คิดว่าตนเองหูฝาดไป จึงถามย้ำอีกครั้งโดยไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าต้องการสอบเข้าสำนักเทียนลู่อย่างนั้นหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“เพคะ สำนักเทียนลู่เปิดรับลูกศิษย์ใหม่ในเดือนแรกของทุกปี ดังนั้นหม่อมฉันจึงขอกราบทูลฝ่าบาทพระราชทานโอกาสให้หม่อมฉันได้สอบเข้าด้วยเพคะ”
เจ้าครองแคว้นมองนางด้วยแววตาสับสน
ฉู่หลิวเยว่ผู้นี้แปลกประหลาดมากเสียจริง
หากกล่าวว่านางเป็นคนโง่เขลา กระนั้นนางก็ใจเย็นตั้งแต่ตอนต้น ทุกคราที่เผชิญกับปัญหาก็สามารถคลี่คลายได้อย่างสมบูรณ์
หากกล่าวว่านางเป็นคนฉลาด กระนั้นนางกลับเป็นฝ่ายถอยออกมาจากตำแหน่งพระชายารัชทายาท ทั้งยังบอกอีกว่าจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่ด้วยตนเอง
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่รู้ว่าสำนักเทียนลู่เป็นสำนักที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในแคว้นเย่าเฉิน หากต้องการสอบเข้าเรียน จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ชั้นเลิศเป็นอันดับต้นๆ เช่นกัน
อีกอย่างชีพจรดั้งเดิมของนางก็พิการตั้งแต่กำเนิด นางจะสอบเข้าได้อย่างไร
“นี่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทว่า…บททดสอบของสำนักเทียนลู่ยากมาก เจ้าแน่ใจว่าจะไปหรือ เจ้าต้องรู้ก่อนว่า พวกอาจารย์อาวุโสคงไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ เพราะเห็นแก่หน้าข้าหรอกนะ”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มอ่อน
“ฉู่หลิวเยว่เข้าใจจุดนี้ดีเพคะ สิ่งที่หลิวเยว่ต้องการมีเพียงโอกาสในการสอบหนึ่งครั้งเท่านั้น”
จยาเหวินตี้จ้องนางแน่นิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่านางไม่ได้ล้อเล่น และในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา
“ในเมื่อต้องการเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามประสงค์ของเจ้า แต่ว่า…เจ้าจะสอบได้หรือไม่นั้น ก็คงต้องดูความสามารถของเจ้าเองแล้วล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่คุกเข่าขอบคุณ
“ขอบพระทัยฝ่าบาทอย่างหาที่สุดไม่เพคะ”
จยาเหวินตี้โบกมือ
“เอาล่ะ วันนี้เจ้าน่าจะเหนื่อยแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนก่นอเถิด ฉู่หนิง เจ้าไปพร้อมกับนางเถิด ดูแลนางให้ดีๆ”
เรื่องที่สำคัญที่สุดได้คลี่คลายลงแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่ต่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว นางจึงกลับไปพร้อมกับฉู่หนิงเสียแต่โดยดี
จนกระทั่งร่างทั้งสองคนหายลับออกไปด้านนอกตำหนักยามค่ำคืน บรรยากาศเย็นเยียบในตำหนักจึงค่อยๆ ผ่อนคลายมากขึ้น
แต่เนื่องจากวันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็ไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายอีก
งานเลี้ยงที่ครึกครื้นก็กลายเป็นงานเลี้ยงที่น่าเบื่อ
หรงจิ้นหลับตานวดระหว่างคิ้ว
ในที่สุดเขาก็ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่ได้แล้ว ความจริงเขาควรจะดีใจ แต่ตอนนนี้เขากลับรู้สึกหนักอกราวกับมีก้อนหินกดทับ และหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกแผนการทุกอย่างถูกวางไว้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ทำไมผลสุดท้ายถึงกลับตาลปัตรกลายเป็นเช่นนี้ได้
หลังจากวันนี้ไป ไม่รู้ว่าคนทั่วทั้งเมืองหลวงจะวิจารณ์ถึงเขาอย่างไรบ้าง
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ ที่สำคัญที่สุดคือ เกรงว่าทางเสด็จพ่อคงจะไม่พอใจเขาเข้าแล้ว…
แต่ทว่าความรู้สึกของฉู่เซียนหมิ่นตอนนี้กลับดูยิ่งแย่กว่าหรงจิ้นเสียอีก
นางนั่งอยู่ตำแหน่งของตัวเอง แต่กับรู้สึกชาวูบไปทั้งร่าง สมองว่างเปล่าขาวโพลน สีหน้าเปลี่ยนไปไม่หยุดหย่อน
คำพูดเหล่านั้นของฉู่หลิวเยว่ในวันนี้ได้ทำลายชื่อเสียงของนางจนแทบหมดสิ้น!
เรื่องแบบนี้ใครเขาจะสนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไม่เพียงแค่ไม่สามารถจัดการกับฉู่หลิวเยว่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้ตนเองดูแปดเปื้อนไปด้วย!
สายตาหลากหลายอารมณ์จับจ้องมาที่นางมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเส้นด้ายที่ต้องหาทางสอดเข้ารูเข็มไปให้ได้
“แค่กๆ…”
หรงซิงกระแอมไอขึ้นมาอีกครั้ง
จยาเหวินตี้ขมวดคิ้ว
“ทำไมเจ้าถึงไอรุนแรงปานนั้น”
หรงซิวโบกมือ
“ลูกเปล่าพ่ะ….แค่กๆ…”
เขายังไม่ทันพูดจบก็เริ่มไอหนักอีกครั้งจนริมฝีปากขาวซีด
คำสั่งของจยาเหวินตี้ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
“แค่กๆ…”
“ตอนนี้กลับไปรักษาก่อนเถิด ว่าจะรักษาจนอาการดีขึ้นจากเขาหมิงเยว่เทียนช่างไม่ง่ายเลย นี่เพิ่งกลับมาได้เดือนเดียวก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว ต่อไปจะทำอย่างไร หากเจ้าป่วยหนักไปอีกครา ข้าจะลงโทษคนในจวนของเจ้าให้หมด!”
หรงซิวฝืนยิ้มแล้วยันกายลุกขึ้น
เยี่ยนชิงที่อยู่ข้างหลังของเขารีบเอาเสื้อขนจิ้งจอกขาวมาคลุมให้ทันที
“ลูกขอทูลลาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพูดจบเขาก็หันไปทางหรงจิ้น
“เสด็จพี่ กระหม่อมส่งของขวัญไปให้ที่ตำหนักแล้ว วันนี้ไม่สามารถอยู่ร่วมงานได้ ไว้กระหม่อมขอแก้ตัววันอื่นนะพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ้นฝืนยิ้ม
“น้องเจ็ดเกรงใจเกินไปแล้ว สุขภาพร่างกายเจ้าสำคัญยิ่งกว่า”
จากนั้นหรงซิวจึงหันหลังออกไป
หลังจากที่เขากลับไปแล้ว หรงจิ่วก็บอกว่ามีเรื่องต้องไปสะสางจึงขอตัวกลับไปทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์