สรุปเนื้อหา บทที่ 33 รอคอย – ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ โดย จ้าน นิชิโนะ
บท บทที่ 33 รอคอย ของ ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ ในหมวดนิยายการเกิดใหม่ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย จ้าน นิชิโนะ อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
วันรุ่งขึ้น เรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของรัชทายาทก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์
มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืน แต่คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือฉู่เซียนหมิ่น
นางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับองค์ชายรัชทายาทตั้งนานแล้ว!
หญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ที่เคยคิดว่าใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับหยก แต่คิดไม่ถึงว่าลับหลังจะแอบกระทำการไม่สมควรเช่นนี้
แม้ในแคว้นเสวียนอู่จะถือพลังความสามารถเป็นสิ่งที่ได้รับความเคารพ แต่ในเรื่องนี้ก็ยังหัวโบราณกันอยู่มาก
ตอนนี้ฉู่เซียนหมิ่นยังถือว่าเป็นผู้เยาว์ ยังไม่ถึงวัยที่จะต้องออกเรือน เมื่อเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไปก็ทำให้ชื่อเสียงของนางป่นปี้ย่อยยับ
หรงจิ้นยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉู่หลิวเยว่แล้ว ซึ่งเป็นดั่งที่ทุกคนคาดการณ์เอาไว้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงดูจืดไปสนิท เพราะทุกคนต่างหันมาให้ความสนใจเรื่องของฉู่เซียนหมิ่นมากกว่า
แน่นอน เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่พูดว่าจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่นั้นก็ทำให้ใครหลายคนตกตะลึงเช่นกัน
แต่หลังจากที่ทุกคนตกใจได้ไม่นาน ก็ไม่มีใครสนใจอีก
…คนไร้ความสามารถที่ชีพจรพิการแต่กำเนิด จะสามารถสอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้หรือ
ทุกคนเห็นนางเป็นคนปัญญาอ่อนที่กำลังเพ้อฝันอยู่ ทั้งยังมีคนสงสัยว่าเพราะนางได้รับการกระทบกระเทือนจากการถูกยกเลิกสัญญาหมั้นหมายถึงได้สติฟั่นเฟือน
และอีกหลายคนก็คิดว่าเป็นเพราะรัชทายาทหรงจิ้น
เนื่องจากตอนนี้ตำแหน่งพระชายารัชทายาทยังว่างเปล่า ฉู่เซียนหมิ่นที่ใครๆ ต่างคิดอยู่เสมอว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุดกลับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เห็นทีนางคงไม่ได้รั้งตำแหน่งพระชายาเอกอย่างแน่นอน
ดังนั้นสตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนในเมืองหลวงจึงพร้อมใจกันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
…
ฉู่หลิวเยว่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดจากนั้นก็ฝึกซ้อมในลานตามปกติ จนกระทั่งในที่สุดนางก็หมดแรงถึงได้หยุดฝึกซ้อม
ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างรำไรเท่านั้น
“เยว่เอ๋อร์”
เสียงของฉู่หนิงดังมาจากข้างหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันหลังไปก็เห็นว่าฉู่หนิงกำลังยืนอยู่ที่ลานบ้านมองดูนางด้วยความสงสาร
นางสังเกตเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าฉู่หนิงกำลังเดินมา ดังนั้นนางจึงไม่แปลกใจ
ฉู่หนิงเคยชินกับการฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งของนางมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เคยห้ามปรามนางสักครั้ง
เพราะเขารู้ถึงสิ่งที่นางกำลังจะทำ ดังนั้นจึงเลือกสนับสนุนนางเงียบๆ
“ท่านพ่อ วันนี้ท่านไม่เข้าร้านหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ถามแปลกๆ ไปเล็กน้อย
นางกวาดตาสำรวจฉู่หนิงอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพบว่าวันนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง
เขาเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้ม มีเข็มขัดสีขาวคาดเอว ผมของเขาถูกมัดอย่างเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าเคราของเขาเพิ่งโกนไป แถมคางของเขายังเป็นตอซังสีเขียวจางๆ อีกด้วย
วันนี้ฉู่หนิงแต่งตัวเรียบร้อยพิถีพิถัน ดูแล้วอ่อนกว่าวัยลงไปมากโข
สิ่งที่สำคัญก็คือ สีหน้าของเขาไม่หมองหม่นดั่งอดีตอีกต่อไป ประกอบดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น ทำให้ทั้งตัวเขาดูสดชื่นแจ่มใสราวกับเกิดใหม่
อันที่จริงฉู่หลิวเยว่พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว
“วันนี้พ่อมีธุระสำคัญที่ต้องทำ”
ดูเหมือนฉู่หนิงจะมีสีหน้านิ่งสงบ แต่ในแววตากลับซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
ดูท่าทางฉู่หนิงคงจะประหม่าตื่นเต้นจริงๆ
“ต่อจากนี้ไป พ่อจะไม่ยอมให้เยว่เอ๋อร์โดนรังแกเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว มีหลายบัญชีที่พ่อต้องสะสาง!”
ฉู่หนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ก่อนหน้านี้ร่างกายเขาไม่แข็งแรงและไม่สามารถปกป้องเยว่เอ๋อร์ได้ แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาบรรลุสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว เขาจึงไม่นิ่งนอนใจเป็นธรรมดา!
เขาถามเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างเคร่งขรึม
“เยว่เอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ที่ลูกบอกว่าฉู่เซียนหมิ่นส่งคนไปฆ่าลูก หนึ่งในนั่นมีคนที่ชื่อซ่งเหลียนใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อรู้จักหรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นใจกระตุกวูบ
ฉู่หนิงหรี่ตา
“เมื่อก่อนไม่รู้จัก แต่หลายวันมานี้พ่อไปสืบดู แล้วได้ยินอะไรบางอย่างเข้า”
“ซ่งเหลียนนั่นเป็นอันธพาลที่รู้จักกันดี วันๆ ได้แต่ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์เย่อหยิ่งจองหอง คนในเมืองหลวงไม่น้อยต่างก็เคยโดนมันทำร้าย ขี้เกียจลอยไปลอยมาไปวันๆ ไม่ทำงานทำการ เอาแต่ขลุกอยู่ในบ่อนใหญ่หลายปี แต่คนเยี่ยงนี้กลับมีเบื้องหลัง ก่อเรื่องสร้างความเดือดร้อนมากมายและเคยแม้กระทั่งจาบจ้วงลูกหลานขุนนางชั้นสูง แต่สุดท้ายก็ดิ้นหลุดออกมาได้”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าหงึกหงัก
“ดูแล้วคนที่อยู่เบื้องหลังเขาไม่ใช่ฉู่เซียนหมิ่น แต่มีคนอื่นอีก”
ฉู่เซียนหมิ่นไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น เบื้องหลังจะต้องลากคนอื่นเข้ามาพัวพันแน่
มิน่าล่ะ แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตัวเล็กๆ ถึงได้เหิมเกริมขนาดนั้น
แสดงว่าต้องมีคนคอยคุ้มกะลาหัวพวกมันอยู่แน่นอน
“คนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แท้จริง ท่านพ่อสืบได้แล้วหรือ”
ฉู่หนิงหยุดนิ่งแล้วส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
วันนี้นางไม่ได้ปิดบังตัวตนสถานะ ใบหน้าเรียวขาวผ่องเป็นยองใยของนางทำให้ใครหลายจนจำได้ แอบชี้นิ้วกันให้หันมามองนาง แต่ไม่มีกล้าเข้ามารังแกกลั่นแกล้งนางเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้หลบหน้าหลบตา ราวกับว่านางไม่ได้สนใจอะไรเลย
หลังจากเดินไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง นางก็เดินมาถึงถนนใหญ่ที่คึกคัก คนรอบตัวก็เริ่มเยอะขึ้น
นางกำลังเดินอยู่ดีๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงการเคลื่อนไหวดังอยู่ข้างหน้านาง จากนั้นก็มีร่างหนึ่งก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่กำลังจะหลีกหนี แต่ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยและร่างของนางก็หยุดชะงัก
อีกฝ่ายก็วิ่งเข้ามาชนนางทันที
“จับหัวขโมย!”
มีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากด้านหลัง
เมื่อฉู่หลิวเยว่มองย้อนกลับไป คนที่ชนนางก็ได้หายตัวไปแล้วด้วยความรวดเร็ว!
นางลอบยิ้มเล็กน้อยอย่างที่ไม่ทันสังเกตเห็น แล้วรีบตามไปทันที
…
อาทิตย์กำลังอัสดง
แสงเรืองรองสุดท้ายกำลังคล้อยต่ำลงมาสะท้อนร่างสูงโปร่งที่นอนอยู่บนเตียงริมหน้าต่าง
หรงซิวพลิกอ่านตำราในมือเงียบๆ ซึ่งดูมีสง่าราศีดั่งคุ้นเคย แต่ไม่รู้เหตุใดถึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างเย็นชา
เยี่ยนชิงเอ่ยขึ้น
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ทางจวนได้รับจดหมายเชิญรวมของรัชทายาทด้วยทั้งยี่สิบสามฉบับ กระหม่อมได้ปฏิเสธไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงซิวตอบ “อืม” เสียงแผ่วเบา บรรยากาศกลับยิ่งเย็นยะเยือกมากกว่าเดิม
เวลาผ่านไปช้าๆ ในที่สุดท้องฟ้าก็มืดสนิท
หรงซิวพลิกตำราไปอีกหน้า ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“วันนี้มีคนมาขอเข้าเยี่ยมหรือไม่”
ทำไมเยี่ยนชิงจะไม่รู้ว่าองค์ชายถามถึงผู้ใด เขาจึงอดคร่ำครวญในใจไม่ได้ เขาจึงก้มหน้าลงอีกเล็กน้อย
“กราบทูลองค์ชาย ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
ฟุ่บ!
ตำราม้วนนั้นถูกโยนทิ้งลงบนโต๊ะ
Next
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...