อ่านสรุป บทที่ 36 ดูเรื่องตลก จาก ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ โดย จ้าน นิชิโนะ
บทที่ บทที่ 36 ดูเรื่องตลก คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายการเกิดใหม่ ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย จ้าน นิชิโนะ อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่ฟังประโยคนี้ได้ขึ้นใจ
นางหยุดชะงักฝีเท้าทันที แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย
เมื่ออวี๋มั่วได้ยินประโยคนี้ก็ตกตะลึงเช่นกัน
ไม่ให้เข้าเฝ้าอย่างนั้นเหรอ
แต่เห็นกันชัดๆ ว่าก่อนหน้านี้เจ้านายเคยบอกว่าไว้ไม่ให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้น มีเพียงคุณหนูใหญ่ตะกูลฉู่เท่านั้นหากมาถึงให้รีบไปรายงานทันที
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงกล้าในคนพานางเข้ามาเลยเดี๋ยวนั้น
แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้…เจ้านายบอกว่าไม่อยากเจอแล้วอย่างนั้นหรือ
เยี่ยนชิงก็รู้สึกขมขื่นเช่นกัน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า!
เขาเห็นกับตาว่าเจ้านายรอคุณหนูใหญ่ฉู่มาทั้งวันเต็มๆ ถ้าบอกว่าไม่อยากเจอก็คงเป็นไปไม่ได้
เมื่อครู่นี้ยังหงุดหงิดโมโหเพราะคุณหนูใหญ่ฉู่มาหาอยู่เลยนี่นา
กว่านางจะมามิใช่เรื่องง่าย เจ้านายไม่เพียงแต่ไม่ดีใจเท่านั้น แต่ทำไมแม้กระทั่งหน้านางก็ยังไม่อยากเจอ
“องค์ชาย คือ…คุณหนูใหญ่ฉู่…”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนชิงด้วยแววตาเรียบนิ่ง
เหยียนชิงกลืนคำพูดในลำคอของเขาทันทีและก้มศีรษะลงอีกครั้ง แล้วยืนสงบปากสงบคำอยู่ด้านข้าง
หรงซิวถอนสายตากลับไปแล้วพลิกหน้าหนังสือหน้าถัดไป
ลมยามราตรีพัดผ่าน มือข้างหนึ่งของเขากำแน่นแล้วเอามาป้องปากไออยู่หลายครั้ง
แต่ดวงตาคมคู่นั้นไม่ได้หันไปมองฉู่หลิวเยว่เลยสักครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เริ่มอยู่ไม่สุขแล้วมองไปที่อวี๋มั่ว
“ในเมื่อเจ้านายพวกท่านไม่สบาย เช่นนั้นขาก็ไม่รบกวนแล้ว ของสิ่งนี้นำไปฝากคืนแทนข้าที แล้วข้าฝากขอบพระทัยองค์ชายของพวกท่านด้วยที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
นางพูดพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในถุงไปให้
เมื่ออวี๋มั่วเห็นผ้าเช็ดหน้าอีกฝ่าย เขาก็เกิดอาการหนังตากระตุกอย่างแรง
นี่คือผ้าเช็ดหน้าติดตัวขององค์ชายมิใช่หรือ
ปกติองค์ชายมักจะให้ความสำคัญกับผ้าเช็ดหน้ามา ติดตัวไว้ตลอดแทบไม่เคยห่าง แต่…ทำไมตอนนี้ถึงไปอยู่กับฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ
คืนนั้นเขาไม่ได้เข้าวังย่อมไม่รู้เรื่องภายในเป็นธรรมดา
องค์ชายต้องเป็นผู้มอบสิ่งนี้ให้ฉู่หลิวเยว่แน่นอน…
“คุณหนูใหญ่ฉู่ คือว่า…”
อวี๋มั่วลังเลว่าจะรับไว้ดีหรือไม่ แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่าง
เขาสะดุ้งโหยงแล้วรีบปฏิเสธทันควัน
“คุณหนูใหญ่ฉู่ขอรับ นี่เป็นของขององค์ชาย ท่านเอาไปให้เองเถิดขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวไม่ใช่หรือ
ทำไมถึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย
นางก็อยากจะคืนให้เต็มแก่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ถ่อมาถึงที่หรอก
แต่หรงซิวเพิ่งพูดอยู่หยกๆ ว่าไม่อยากเจอใครทั้งนั้น แล้วจะให้นางทำอย่างไร
นางเดินเข้าไปดูตรงนั้นแวบหนึ่ง
ด้านฝั่งตรงข้ามประตูที่เปิดอยู่นั้น นางเห็นร่างสูงโปร่งเอนกายนอนอยู่
แสงนวลตาส่องกระทบรูปร่างที่ไม่มีผู้ใครเทียบเคียงของเขาราวกับรูปสลักที่งดงามไร้ที่ติ
เปลือกตาหรุบลงและเม้มริมปากบางเล็กน้อย
นี่หรงซิว…กำลังโกรธเหรอ
เขาโกรธอะไร
เมื่อครุ่นคิดสักพัก ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาคิดสิ่งใดกันแน่ แต่นางก็ไม่อยากคิดให้ยุ่งเหยิง นางจึงมองแล้วถามหรงซิวตามตรง
“ท่านหลีอ๋อง หม่อมฉันนำของมาคืนแล้ว หม่อมฉันคงไม่ติดค้างหนี้บุญคุณแล้วใช่หรือไม่ ขอบพระทัยพระองค์ที่ยื่นมือช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง แต่ว่าหม่อมฉันไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณผู้ใด อีกทั้งหนทางของหม่อมฉันและพระองค์แตกต่างกัน ตั้งแต่นี้ไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หม่อมฉันว่าพยายามเจอกันให้น้อยที่สุดจะดีกว่าเพคะ”
เมื่อนางพูดเสร็จสรรพก็ไม่หันไปมองปฏิกิริยาของหรงซิวอีก แล้วกะจะเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ยื่นให้อวี๋มั่ว
หรงซิวหัวเราะเบาๆ โดยไร้เสียง
ไม่มีทางใดที่จะสยบชายหนุ่มคนนี้ได้จริงๆ
ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่มองฉู่หลิวเยว่ล้อมรอบตัวนางเอาไว้อย่างล่องหน
“ไม่ วันนี้เจ้ายังติดหนี้บุญคุณข้าอีกสองครั้ง”
ฉู่หลิวเยว่ใจสั่นไหว
“ครั้งแรกคือเสวียเสวี่ยช่วยเจ้าเอาไว้”
แน่นอนว่าหรงเจินก็รู้เรื่องนี้ด้วย
เรื่องนี้ทำให้นางกระตือรือร้นอยากรู้อยากลอง
ก่อนหน้านี้ที่จับสัตว์อสูรมา ระดับของพวกมันไม่สูงเท่าไหร่นัก ตอนนี้ในที่สุดก็มีสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวหนึ่งมาปรากฏตัว นางต้องได้ไปเจอตัวมันอย่างแน่นอน
หากสามารถจับมันเอาไว้ได้ก็จะให้มันทำสัญญาเป็นสัตว์อสูรของตนเอง…ไม่รู้ว่านางจะชื่นชมสมใจแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้นางจึงเริ่มส่งคนไปสืบหาร่องรอยของสัตว์อสูรระดับเจ็ดตัวนี้
เรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ถูกคนตามฆ่า ดูเหมือนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้กระทั่งทางด้านสองคนนั้นที่หายสาบสูญไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น
ในสถานการณ์ที่ดูสงบนิ่ง ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ได้รับสารจากสำนักเทียนลู่
…ทางสำนักเทียนลู่ตอบรับพระประสงค์ของฝ่าบาท ให้สิทธิพิเศษในการสอบเข้าให้ฉู่หลิวเยว่
เพียงแค่นางสอบผ่านก็จะสามารถเข้าเรียนที่สำนักเทียนลู่แล้วกลายเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้
…
ขึ้นสิบค่ำเดือนแปด คือวันครบรอบวันเกิดอายุสิบสี่ปีของฉู่หลิวเยว่ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ฉู่หลิวเยว่ต้องไปสอบที่สำนักเทียนลู่
ฉู่หนิงตื่นมาทำบะหมี่อายุยืนให้กับนางด้วยตัวเอง
ในอดีตชาติของนาง วันครบรอบวันเกิดของนางทุกครั้งจะจัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการมาก คนที่เข้ามาอวยพรเฉลิมฉลองมีมากมายนับไม่ถ้วน ของขวัญต่างๆ สามารถเขียนรายการออกมาได้ยาวเหยียด
ตอนนี้ แม่จะมีฉู่หนิงคนเดียวที่อยู่ด้วยกันกับนาง แต่บะหมี่อายุยืนชามนี้กลับทำให้นางรู้สึกเติมเต็มความอบอุ่นขึ้นมาได้มากมายเลยทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่กินบะหมี่จนเกลี้ยงชาม เมื่อเก็บกวาดเรียบร้อย นางก็ออกจากบ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังสำนักเทียนลู่ทันที
ฉู่หนิงอยากตามไปด้วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ
นางรู้ดีว่าช่วงนี้ฉู่หนิงกำลังยุ่งเรื่องบางอย่างอยู่ อีกอย่างสำหรับนางแล้ว เรื่องสอบเข้าเป็นเพียงเรื่องง่ายนิดเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้ใครไปเป็นกำลังใจให้
แต่พอมาถึงหน้าประตูสำนักเทียนลู่ ฉู่หลิวเยว่จึงพบว่าที่นี่มีคนมารออยู่เยอะมากแล้ว
เมื่อฉู่หลิวเยว่ปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้มารอดูเรื่องตลกขบขัน
ชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตูของสำนักเทียนลู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาอดรนทนไม่ไหว
“ฉู่หลิวเยว่เองหรือ ในเมื่อฝ่าบาทเอ่ยปากขอร้องแทนเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง การสอบเข้ามีทั้งหมดสามสาขาได้แก่ ผู้ฝึกยุทธ์ ปรมาจารย์ และหมอเทวดา หากสอบผ่านสาขาใดก็ได้ ถือว่าเจ้าประสบความสำเร็จ แล้วเจ้า…เลือกสาขาใดหรือ”
Next
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...