ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ นิยาย บท 378

หรงจิ้นอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง

ฝ่ามือนี้ของจักรพรรดินีนั้นแรงมาก จึงทำให้ซีกหน้าของหรงจิ้นบวมและแดง

เมื่อมองเห็นใบหน้าของหรงจิ้นที่ได้รับบาดเจ็บ ในใจของนางก็สั่นสะท้านไปหมด

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกบังคับ นางจะตัดใจลงมือตบลูกตัวเองได้อย่างใด?

แต่ว่า…

“คำพูดของเจ้านั้นไม่มีมูล”

จักรพรรดินีพูดขึ้นด้วยความโมโห จากนั้นก็สะบัดตัวหรงจิ้นออกแล้วลงไปคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนอย่างขื่นขม

“ฝ่าบาท ไม่ว่าฝ่าบาทจะลงโทษหม่อมฉันอย่างใด หม่อมฉันจะไม่ปริปากบ่น แต่…แต่เรื่องนี้หม่อมฉันทำเพียงคนเดียว…”

แววตาของจักรพรรดิจยาเหวินเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

“ก่อนหน้านี้เจ้าปฏิเสธมาตลอดไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงมายอมรับผิดอย่างง่ายดายเช่นนี้ล่ะ?”

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่ชนกำแพงทิศใต้ไม่หันกลับมา

เมื่อเห็นว่าหลักฐานทั้งหมดอยู่ตรงหน้าแล้ว นางก็ไม่สามารถโต้แย้งอันใดได้ จึงได้แต่ต้องยอมรับแต่โดยดี

อีกทั้งนางคาดไม่ถึงว่าจะถูกจับได้ และโทษทั้งหมดยังลงอยู่นางคนเดียวอีกด้วย

“การบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในระดับพอใช้เท่านั้น และโกศใบนี้คงไม่ได้เตรียมเพื่อตัวเจ้าเองใช่หรือไม่? คนที่ทำให้เจ้าต้องทุ่มเทได้ขนาดนี้…จะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้?”

สิ้นเสียงนั้น สายตาของจักรพรรดิจยาเหวินก็หยุดลงที่หรงจิ้น

หรงจิ้นตัวสั่นสะท้าน

ไม่รู้ว่าเหตุใด เขารู้สึกว่าตนเองก็มีความผิดเช่นกัน

เขาไม่ได้เป็นคนโง่ เมื่อตอนที่เขารู้ถึงคุณสมบัติของโกศใบนี้ เขาก็รู้สึกถึงอันใดบางอย่างแล้ว จากนั้นก็ดูปฏิกิริยาของของจักรพรรดินี ถ้าเขายังเดาไม่ออกอีกว่านางเตรียมไว้เพื่อใคร นั่นก็ถือเป็นเรื่องตลกแล้ว

ต่อให้เขาไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อนเลย เมื่อนึกถึงโครงกระดูกของผู้บำเพ็ญเพียรนับร้อยที่ถูกซ่อนในจวนแห่งนี้ เขาก็รู้สึกขนลุกชูชันแล้ว

จักรพรรดินีสำลักจนพูดอันใดไม่ออกเลย

จักรพรรดิจยาเหวินหลับตาลง

“นำตัวจักรพรรดินีและหรงเจินกลับวังหลวง หากเจิ้นไม่อนุญาต ห้ามให้นางออกจากตำหนัก ส่วนหรงจิ้นนั้น…เจ้าไสหัวกลับไปที่ตำหนักรัชทายาทเลย จริงสิ…แล้วก็หรงฉี ให้เขาอยู่แต่ในตำหนักผิงหวัง รอจนกว่าเรื่องนี้ถูกสอบสวนอย่างละเอียด ทุกคนจะต้องได้รับโทษอย่างเหมาะสม”

สิ้นเสียง จักรพรรดิจยาเหวินก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวออกไปทันที

ขันทีหมินเองก็รีบเดินตามไป เขาไม่กล้าพูดมากแม้แต่ครึ่งคำ

ฉู่หนิงหายใจอย่างโล่งอก ตบแขนของฉู่หลิวเยว่เบาๆ

“เยว่เอ๋อร์ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

สรุปแล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราสองพ่อลูกเลย แต่ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ เขายังต้องติดตามฝ่าบาทเพื่อทำการสืบหาหลักฐานต่อไป

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ “ท่านพ่อได้โปรดวางใจ เยว่เอ๋อร์สามารถดูแลตนเองได้”

ฉู่หนิงถึงวางใจลงได้ เขาจึงหมุนตัวออกไปแล้วไปยืนอยู่ด้านหน้าของหรงเจิน

“องค์หญิงสี่ เชิญพ่ะย่ะค่ะ”

หรงเจินเหลือบสายตาไปมองจักรพรรดินีอย่างลังเล “เสด็จแม่…“

“ไสหัวไป ข้าไม่มีลูกสาวเช่นเจ้า” จักรพรรดินีตวาดด่าเสียงแหลม

เดิมสีหน้าของหรงเจินก็ไม่มีเลือดผาดอยู่แล้ว ตอนนี้กลับซีดยิ่งขึ้นไปอีก

ริมฝีปากของนางสั่นริกๆ แต่จนท้ายที่สุดแล้ว นางก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา และหมุนตัวเดินจากไป

เมื่อมายืนอยู่ด้านข้างของฉู่หลิวเยว่ นางก็ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิม ราวกับว่าไม่ได้สนใจถึงการมีอยู่ของฉู่หลิวเยว่เลย

“องค์หญิงสี่” ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็พูดขึ้น พร้อมเรียกนางไว้

หรงเจินหยุดเดินอย่างกะทันหัน แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตานาง

เมื่อเห็นว่าเป็นฉู่หลิวเยว่ นางก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ท่าทางแสดงถึงความรังเกียจอย่างชัดเจน

อย่างใดก็ตาม ในตอนที่นางกำลังจะพูดอันใดสักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดความหวาดกลัวก็แทรกเข้ามาในจิตใจของนาง

น่าแปลกมาก นางกลืนคำพูดทุกคำลงคอไปหมดแล้ว

เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ แววตาของฉู่หลิวเยว่ก็สว่างวาบ พร้อมมีสมมติฐานขึ้นมาในใจอยู่ข้อหนึ่ง

นางไม่ได้พูดอันใดอีก แต่ส่งรอยยิ้มมั่นใจไปหาฉู่หนิง

ใบหน้าของซือถูซิงเฉินแข็งค้างราวกับหน้ากาก ทั้งอึดอัดและลำบากใจ

นางคิดไม่ถึงเลย เรื่องราวมันจะมาถึงจุดนี้ได้อย่างใด

ก่อนหน้านี้มันยังดำเนินเรื่องอย่างปกติดีไม่ใช่หรือ?

เหตุใดแค่ออกจากวังมาครั้งเดียว สถานการณ์ของจักรพรรดินีและองค์รัชทายาทถึงได้พลักผันเช่นนี้เล่า

แล้วนางจะทำอย่างใดดี?

“คือข้า…ยังไม่ตามไปในตอนนี้”

ซือถูซิงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจ ในใจกลับรู้สึกเสียใจมากที่เลือกหนทางเช่นนี้

หากรู้อย่างนี้ นางจะไม่มีทางตกลงหมั้นหมายกับหรงจิ้นแน่นอน

ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่สามารถทำอันใดได้แล้ว

“แบบนี้คงไม่ดีล่ะมั้ง? องค์หญิงใหญ่ซือถู ท่านเพิ่งจะได้หมั้นหมายกับองค์รัชทายาท แต่วันนี้องค์รัชทายาทมีภัย ท่านกลับจะจากไปเช่นนี้หรือ แบบนี้ก็เท่ากับว่าสละเรืองั้นหรือ? ไม่ใช่แค่องค์รัชทายาทที่จะเสียใจ คนจำนวนมากก็คงต้องผิดหวังไม่น้อยเลยนะ”

ฉู่หลิวเยว่กอดอก แล้วพูดขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน

ซือถูซิงเฉินหันไปมองนางครู่หนึ่ง แววตามีประกายความเกลียดชังโผล่ออกมา

ฉู่หลิวเยว่จงใจพูดขึ้นมาชัดๆ

“ไม่แล้วดีกว่า เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว แม้ว่าข้ากับองค์รัชทายาทจะหมั้นกันแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างใด ข้าก็ยังเป็นแค่คนนอกในฐานะที่ข้าเป็นองค์หญิงใหญ่ของแคว้นซิงหลัว ไม่สมควรที่จะยุ่งเรื่องนี้ต่อไป”

เมื่อถึงตอนนี้ คำพูดของซือถูซิงเฉินก็ดูเจ้ายศเจ้าอย่างมาก และค่อยๆ แยกตัวจากเรื่องนี้ออกไปอย่างชำนาญ

เหมือนว่านางจะลืมไปแล้วว่า นางเป็นคนชี้ว่าเคยเห็นฉู่หลิวเยว่และหรงเจินอยู่ด้วยกัน ดังนั้นจักรพรรดินีและหรงจิ้นจึงไปกล่าวโทษฉู่หลิวเยว่ต่อหน้าจักรพรรดิจยาเหวิน

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ แล้วส่งรอยยิ้มให้

“ที่องค์หญิงใหญ่ซือถูพูดมาก็มีเหตุผล เพียงแต่เดิมทีข้าคิดว่าที่ท่านกับองค์รัชทายาทรีบหมั้นกันขนาดนี้ เป็นเพราะรักมั่นลึกซึ้ง แต่เมื่อเห็นว่าเขามีปัญหา ท่านกลับถอยตัวออกมาทันที ดูเหมือนว่าข้าจะคิดมากไปสินะ”

สีหน้าของซือถูซิงเฉินเปลี่ยนไปเป็นกระดากอายยิ่งนัก

หรงจิ้นที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็มีปฏิกิริยาตอบรับขึ้นมาทันที เขาหันหลังกลับมาแล้วเดินมาที่ซือถูซิงเฉิน พร้อมคว้าข้อมือของนางไว้

“ใช่แล้ว ซิงเฉิน ตอนนี้มีเพียงแต่เจ้าที่สามารถช่วยข้าได้ เจ้าไปเชิญเสด็จพ่อของเจ้าออกมาที เช่นนี้เสด็จพ่อของข้าต้องเปิดทางรอดให้พวกเราแน่นอน”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์