ฉู่หลิวเยว่รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้นจนต้องหันหลังกลับไปมอง
ประโยคเมื่อครู่นี้ฟังดูจริงจังมาก…
นางกระตุกยิ้มมุมปากและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
อย่างใดเสีย ก็ถือว่าเป็นถ้อยคำอวยพรที่ฟังแล้วรื่นหู…อีกอย่างนางก็อยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้ไว้
อีกทั้งมู่ชิงเห่อเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่รับมือชายผู้นี้ได้ หากสามารถเอาชนะใจเขา แล้วเปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนของนางได้ละก็…มันน่าจะสะดวกมากกว่ามิใช่หรือ
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินออกไป นางก็แอบรู้สึกแปลกๆ ในใจ
แม้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ผู้นี้จะอารมณ์แปรปรวน แต่ลึกๆ แล้วดูเหมือนว่านางจะมีความรู้สึกไว้วางใจมอบให้เขาเช่นกัน
ซึ่งน้อยครั้งที่นางจะมีความรู้สึกเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายมีความคิดริเริ่มที่จะช่วยเหลือนางหลายต่อหลายครั้ง
พูดง่ายๆ ก็เหมือนแค่ทำดีหวังผลเท่านั้น
แต่ทว่ากับผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งถึงขั้นทะลวงสวรรค์ได้เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถเปรียบเทียบเขากับคำคำนี้ได้เลย
บางทีเขาเองก็อาจมีแผนอื่นในใจอยู่แล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่กลับไม่นึกกังวลหรือรู้สึกไม่สบายใจเลย
หรือมันจะเป็นเพราะชะตาลิขิต
พลันแสงสว่างโดยรอบก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง
ฉู่หลิวเยว่รู้ได้ทันทีว่าตนเดินทางมาถึงขอบเขตแดนของสุสานจักรพรรดิแล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไป
ทว่านอกจากมู่ชิงเห่อที่ถูกเส้นใยห่อหุ้มไว้ในอากาศ นางก็แทบมองไม่เห็นสิ่งที่ข้างภายในนั้นเลย
มีเพียงชั้นน้ำแข็งที่ยังคงจับตัวเป็นแผ่น และพลิกกลับสู้ก้นทะเลสาบ น้ำในทะเลสาบที่สวยงาม ซึ่งยังคงพุ่งพล่าน
พื้นที่ตรงกลางถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ และมีผลึกน้ำค้างแข็งจางๆ ค่อยๆ ลอยปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ฉู่หลิวเยว่ยืนมองมันเงียบๆ รู้ว่านี่คือพลังที่ชายคนนั้นใช้ปิดผนึกมัน
เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจที่จะแช่แข็ง และปิดผนึกสุสานของจักรพรรดิอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่นานฉู่หลิวเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต้องใช้พลังปราณมหาศาลเพียงใดกัน…
คนผู้นี้อยู่นอกเขตแดนม่านฟ้าในเมื่อเขาใช้พลังถึงเพียงนี้ เขาจะไม่ถูกปราบปรามหรือ?
เพียงพริบตา ฉู่หลิวเยว่ก็กระตุกยิ้มมุมปากเบาๆ
ตอนนี้หนทางที่จะออกไปจากดินแดนนี้ของนาง ยังอีกยาวไกลนัก…
ตอนแรกนางอยากถามคนผู้นั้นว่าจะทำเช่นใดกับคนอื่นๆ ในสุสานของจักรพรรดิ
แต่ลังเลอยู่นาน นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม
แค่ช่วยมู่ชิงเห่อคนเดียว ก็ทำให้นางต้องเป็นหนี้บุญคุณเขาหนึ่งครั้งแล้ว หากรวมคนอื่นๆ เข้ามาอีก…
“ท่านอาจารย์ หวังว่าท่านคงเข้าใจลูกศิษย์ผู้นี้นะ?”
ฉู่หลิวเยว่แอบคิดในใจเงียบๆ
นอกจากเยี่ยจือถิงแล้ว นางหาได้สนใจชีวิตผู้อื่นไม่ และด้วยพลังของเยี่ยจือถิง…หากเขาต้องการหนีออกจากที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังหรอก
ทว่าเมื่อคิดเช่นนี้ฉู่หลิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบพีระมิดออกมาอีกครั้ง พลางวางมันลงบนฝ่ามือ แล้วจ้องมองอย่างระมัดระวังครู่หนึ่ง
ยามนี้พีระมิดตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ จนมองไม่เห็นภาพอันใดสักอย่าง
หากรู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้ นางควรจะดูสถานการณ์ของท่านอาจารย์ และคนอื่นๆ เสียก่อน…
ฉู่หลิวเยว่จำต้องเก็บของสิ่งนั้นลง พลางหายใจเข้าลึกๆ แล้วพามู่ชิงเห่อมุ่งหน้าเดินต่อไปยังอีกด้านของสะพานสีดำ
…
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินทางออกไปอย่างราบรื่น สถานการณ์ของคนอื่นๆ ที่เข้ามาในสุสานของจักรพรรดิ กลับไม่ได้ราบรื่นเช่นนาง
จักรพรรดิจยาเหวินได้รับการคุ้มครองจากเยี่ยจือถิง เขาจึงรอดพ้นจากอันตรายได้นานพักใหญ่
แต่กระนั้น เกราะสีดำนั่นก็มีทีท่าว่าจะทนอยู่ได้ไม่นาน และในไม่ช้ามันก็ถูกชั้นผลึกสีทองปกคลุม และกัดกร่อนจนความหนาของมันบางลงเรื่อยๆ
ทรายสีทองที่ไหลพุ่งมาจากด้านหลังทับถมเข้ามาไม่หยุด และในที่สุดโล่สีดำก็ถูกทำลายลงอย่างหมดสิ้น
เยี่ยจือถิงจึงจำต้องอพยพร่างของจักรพรรดิจยาเหวินอีกครั้ง
โชคดีที่ชั้นผลึกสีทองเหล่านั้นเปล่งแสงระยิบระยับ พวกเขาสามารถมองเห็นฉากโดยรอบได้ชัดเจน และความเร็วในการเคลื่อนตัวของทรายก็เพิ่มขึ้นกว่าตอนที่พวกมันพุ่งออกมาแรกๆ อย่างมาก
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกเหนื่อยและไม่พอใจอย่างมาก
เจ้าคนพวกนั้นยังอยู่ข้างในสุสานแน่ๆ
แต่เขาจักรพรรดิผู้สง่างามของแคว้นเย่าเฉิน กลับถูกขับออกจากสุสานของจักรพรรดิด้วยความอับอาย
ไม่จำเป็นต้องส่องกระจก ก็รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาเป็นเช่นใด
โชคดีที่มีเพียงเยี่ยจือถิงเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงที่สั่งสมมาของเขา คงถูกทำลายเป็นแน่
ไม่รู้ว่าพวกเขาหนีหัวซุกหัวซุนกันนางเพียงใด ทว่าในที่สุดความเร็วที่เพิ่มขึ้นของทรายสีทองนั้นก็ช้าลง
เมื่อเป็นเช่นนั้นเยี่ยจือถิงจึงหยุดฝีเท้า พลางหันมองจักรพรรดิจยาเหวิน
“ฝ่าบาท ท่านยังอยู่ดีหรือไม่?”
จักรพรรดิจยาเหวินโบกมือพร้อมใบหน้าซีดเซียว
“นั่นใคร?”
สิ้นการลั่นวาจา เขาก็โบกพัดสะบัดในมือทันที
กึก!
พลังปราณที่พุ่งออกไปกระทบกับวัตถุบางอย่าง
จากนั้นเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น
เยี่ยจือถิงกับจักรพรรดิจยาเหวินมองหน้ากันพัลวัน มีคนอยู่ตรงนั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นอีกฝ่ายเลย
สีหน้าของเยี่ยจือถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พลันสะบัดพัดในมืออีกครั้ง
พลังปราณที่กดดันและทรงพลังพุ่งออกมาทันที
ขณะเดียวกัน ในที่สุดเสียงอุทานอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นในความมืด
“ช้าก่อนเยี่ยจือถิง!”
เยี่ยจือถิงชะงักไปครู่หนึ่ง
พลันท่าทางของจักรพรรดิจยาเหวินก็เปลี่ยนไป
“หรงจิ้น?”
เยี่ยจือถิงดีดนิ้ว ก่อนจะมีกลุ่มเปลวเพลิงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
จากนั้นบริเวณโดยรอบก็สว่างขึ้นทันตา
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าเปลวเพลิงจะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น แต่ตอนนี้กลับเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ฟุ่มเฟือยอย่างที่คิด
พลันใบหน้าที่ดูประหม่าปนหงุดหงิด ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาสองคน
เป็นหรงจิ้นจริงๆ
หัวใจของจักรพรรดิจยาเหวินถูกยั่วยุ พลันตำหนิด้วยความโกรธ
“หรงจิ้น! เจ้านี่ช่างอวดดียิ่งนัก เจ้ากล้าดีอย่างใดถึงแอบหนีออกจากตำหนักองค์รัชทายาทแล้วมาที่นี่!”
คราแรกหรงจิ้นกลัวมาก แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้วในเมื่อเรื่องเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ยังมีสิ่งใดที่เขาต้องกลัวอีกหรือ
เขากำหมัด พลันยืดกายตัวตรง และพยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“ท่านพ่อ ลูกคือบุตรแห่งสวรรค์ การที่ลูกมาที่นี่นั้น เป็นปัญหาอันใดหรือ!”
ทว่าจู่ๆ เยี่ยจือถิงกลับหัวเราะออกมา
“องค์ชายเอ๋ย หากท่านเป็นบุตรแห่งสวรรค์ตัวจริง ท่านสามารถเข้าไปด้านในได้โดยตรง และสามารถควบคุมทุกอย่างในสุสานได้หมด ทว่ามีผู้ถูกเลือกอยู่ข้างในนั้นแล้วหนึ่งคน ไม่ทราบว่าเรื่องที่ท่านเป็น ‘บุตรแห่งสวรรค์’ นี้ ท่านไปฟังมาแต่ใดหรือ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...