เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่หลิวเยว่จึงย้อนถามกลับไปบ้าง
“แล้วทำไมข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“เจ้า…”
หลังจากงานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชายรัชทายาท ฉู่เซียนหมิ่นก็เกลียดฉู่หลิวเยว่เข้ากระดูกดำไปแล้ว
ทันทีที่เห็นฉู่หลิวเยว่ นางก็อยากปรี่เข้าไปสั่งสอนแรงๆ สักชุด
แต่เมื่อกำลังจะง้างปาก นางก็พบว่ามีคนยืนอยู่ข้างฉู่หลิวเยว่
ซึ่งก็คืออาจารย์ไป๋เชิน
นางกลืนคำพูดลงคอทันที และเก็บซ่อนความขยะแขยงและความชั่วร้ายของนางบนสีหน้าอย่างรวดเร็ว และเมื่อนางมองไปที่ไป๋เชินอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เจือรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่แล้ว
“คารวะอาจารย์ไป๋เชิน”
เมื่อนางทักทายก่อน คนพวกนั้นก็ได้สติแล้วทำความเคารพตามทันที
“คารวะอาจารย์ไป๋เชิน”
ไป๋เชินได้แต่ขมวดคิ้วโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
สิ่งที่คนเหล่านี้พูดเมื่อครู่นี้ เขาได้ยินชัดเจนหมดแล้ว!
ละทิ้งความขุ่นข้องหมองใจระหว่างฉู่เซียนหมิ่นกับฉู่หลิวเยว่ไปก่อน แต่สำหรับคนอื่นนั้นฉู่หลิวไม่เคยสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ เขาคิดไม่ถึงว่าลับหลัง พวกนางจะพูดจาแย่ๆ เยี่ยงนี้!
ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา เขาทนฟังคนอื่นพูดจาสกปรกดูถูกเหยียดหยามนางไม่ได้
เดิมทีไป๋เชินก็เป็นคนขี้โมโหอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อรับรู้ถึงความโกรธของไป๋เชิน ฉู่เซียนหมิ่นก็อดไม่ได้ที่จะลอบส่งตายตาและรู้สึกกังวลเล็กน้อย
หรือว่า…อาจารย์ได้ยินที่นางพูดเมื่อกี้นี้หมดแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าอาจารย์จะได้ยิน แต่นางก็พูดแค่เรื่องฉู่หลิวเยว่นี่นา ทำไมอาจารย์ไป๋เชินถึงต้องทำท่าโกรธด้วย
“ที่สำนักรับพวกเจ้าเข้ามาก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ขัดเกลาให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามานินทาผู้อื่นลับหลังเช่นนี้ หากจิตใจพวกเจ้าไม่ได้ที่การฝึกฝน ก็รีบออกไปให้พ้นซะ!”
ไป๋เชินพูดโดยไม่ไว้หน้าเลยสักนิด แล้วเขาก็ตวาดเสียงดังลั่นจนพวกนางตกใจหน้าซีดเผือด
คำพูดนี้…ช่างหนักแน่นจริงๆ!
ปกติพวกนางเคยโดนตำหนิเช่นนี้หรือ ทันใดนั้นพวกนางก็รู้สึกหน้าแตกยับเยิน!
แต่ไป๋เชินมีสถานะสูงส่งกว่า พวกนางจะกล้าเถียงได้อย่างไร
หลายคนลอบมองฉู่เซียนหมิ่นเพื่อขอความช่วยเหลือ
ในเวลานี้มีเพียงฉู่เซียนหมิ่นซึ่งเป็นศิษย์รักของอาจารย์มากที่สุดเท่านั้นที่สามารถพูดแทนได้
ส่วนฉู่เซียนหมิ่นก็ตกใจไป๋เชินเช่นกัน
แค่เอ่ยถึงฉู่หลิวเยว่ไม่กี่คำ ทำให้เขาโมโหขนาดนี้เชียวหรือ
“อาจารย์ไป๋เชิน ท่านอาจจะเข้าใจผิด เมื่อครู่นี้พวกเราแค่พูดเล่นๆ เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด…”
อย่างไรก็ตาม ไป๋เชินดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจจะให้นางเสียหน้าในวันนี้
“อ๋อ เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าเมื่อกี้นี้ข้าหูฝาดไปอย่างนั้นหรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นชะงัก
ปกติอาจารย์ในสำนักไม่เคยทำกับนางอย่างนี้มาก่อน วันนี้มันเกิดอะไรขึ้น…
“หมินหมิ่นไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่แค่แปลกใจที่เห็นพี่สาวมาอยู่ที่นี่ ดังนั้นข้าจึงอดถามไม่ได้เจ้าค่ะ”
นางพลิกลิ้น แล้วพยายามเบี่ยงประเด็นที่พวกนางด่าฉู่หลิวเยว่
ขณะเดียวกัน นางก็นึกถึงบางเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าไป๋เชินจะถูกส่งตัวไปคุมสอบฉู่หลิวเยว่นี่นา!
เมื่อนับเวลาดู ตอนนี้ก็น่าจะสอบเสร็จแล้ว
แต่ฉู่หลิวเยว่ทำไมไม่กลับไป แล้วยังเข้ามาข้างในอีก
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา ทำสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“วันนี้ข้ามาสอบเข้าสำนักเทียนลู่ นางก็รู้มิใช่หรือ เมื่อครู่นี้ก็พูดถึงเรื่องนี้พอดีมิใช่หรือ”
ฉู่เซียนหมิ่นแอบกัดฟัน แต่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้
“ใช่…ข้าถึงได้อยากรู้ อาจารย์ไป๋เชิน ดูเหมือนกฎของสำนักจะไม่รับคนธรรมดาเข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หลายคนที่อยู่ข้างหลังนางอดซุบซิบกันไม่ได้
“นั่นสิเจ้าคะ ฉู่หลิวเยว่เป็นคนนอก เข้ามาในนี้ได้อย่างไร”
“นี่มันผิดกฎชัดๆ…”
ไป๋เชินแสยะยิ้ม
“ผิดกฎอย่างนั้นหรือ ข้าหรือพวกเจ้าใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉู่หลิวเยว่เป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนลู่ ทำไมนางถึงจะเข้ามาไม่ได้”
“อะไรนะ!”
ฉู่เซียนหมิ่นอดร้องตกใจไม่ได้ แล้วนางหันไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างเหลือเชื่อ
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง”
ฉู่หลิวเยว่สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้ยังไง!
ปกติไป๋เชินไม่ค่อยสนิทสนมกับฉู่เซียนหมิ่นเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เขายิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดนางจริงๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์