เสียงของเขานั้นทุ้มต่ำและนุ่มนวล บวกกับเสียงหัวเราะยียวนเบาๆ ยิ่งทำให้ท่าทีของเขาดูผ่อนคลายขึ้นไปอีก
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกกลอกตามองบนใส่เขาแวบหนึ่ง
หรงซิวยิ้มขำ หว่างคิ้วและดวงตาของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ราวดอกไม้บานในยามฤดูใบไม้ผลิ
ทว่าดวงตาที่ลึกซึ้งคู่นั้นกลับไม่ได้จดจ่ออยู่ที่กระดานหมากรุก มีเพียงคลื่นอารมณ์บางอย่างซ่อนเร้นอยู่ภายใน ราวกับหลงอยู่ในความคิดของตน
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกแอบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ความจริงหรงซิวเป็นคนที่หยิ่งทะนงสุดๆ ราวฝังรากลึกเข้ากระดูก
เช่นเดียวกับทักษะการเล่นหมากรุกของเขา ที่ต้องเหนือกว่าผู้ใด
ส่วนทักษะของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเองก็ถือว่าไม่เลว แต่พอเผชิญหน้ากับหรงซิวตรงๆ เขากลับอ่านใจอีกฝ่ายไม่ออก
แต่อย่างน้อยที่สุด ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ไม่มีใครสามารถเอาชนะหมากรุกของหรงซิวได้เลย
ไม่สิ ควรพูดว่าไม่มีใครสามารถแข่งกับเขาได้มากกว่า!
“องค์ชาย นี่ท่านหมายความว่า…ยังมีคนที่สามารถล้มหมากรุกท่านได้อยู่หรือ?”
“ใช่แล้ว”
หรงซิวพลิกตัวเล็กน้อย พลางชูแขนขึ้นคิดอันใดบางอย่าง แล้วหัวเราะออกมา
“ข้าเคยแพ้มาแล้วตั้งหลายครา”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกตกใจยิ่งกว่าเดิม
หากเขาพูดเช่นนี้ แสดงว่ามันไม่ใช่การอ่อนข้อให้แล้วยอมแพ้ แต่มันหมายความว่าเขาแพ้จริงๆ ต่างหาก!
“มีคนเช่นนั้นอยู่บนโลกด้วยหรือ?”
การอ่านใจหรงซิวได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย!
“แน่นอนว่ามี”
หรงซิวกดยิ้มลึก แต่มีร่องรอยของความอ่อนโยนฉายวับอยู่ในดวงตาของเขา
“แต่ก็ ถ้าได้แข่งกันตอนนี้ ข้าจะมีโอกาสชนะมากกว่า”
“ก๊อกๆ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้น
“เข้ามา”
หรงซิวเอ่ยเสียงเรียบ
เยี่ยนชิงก้าวเท้าเข้ามา แล้วโค้งคำนับทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยว่า
“องค์ชาย ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก คนของพรรคหมิงมาถึงแล้วขอรับ พวกเขาต้องการพบผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกขอรับ”
พรรคหมิง คือกลุ่มทหารขนาดย่อม และเป็นคนจากตระกูลหมิง ตระกูลชาติกำเนิดของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก
และเพราะผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง สถานะของพรรคหมิงจึงไม่ได้ต่ำต้อย
แต่สีหน้าของผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกกกลับเปลี่ยนไป เขาหมดความอดทนแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“เหตุใดพวกเขาถึงยังมาที่นี่อีก!? แจ้งไปแล้วมิใช่หรือว่าข้างานยุ่งมาก บอกพวกนั้นไปว่าถ้าว่างมากอย่ามากวนข้า”
เยี่ยนชิงก้มหัวลงและพูดด้วยความเคารพ
“ท่านผู้อาวุโส หลังจากที่ท่านออกราชการ พวกเขาเคยส่งคนมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นท่านติดคุยธุระกับผู้อาวุโสท่านอื่นอยู่ จึงไม่ได้เจอพวกเขา พอวันนี้พวกเขาได้ข่าวว่าในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว พวกเขาถึงได้ยกขบวนกันมาพบท่านอีกครั้ง”
“ฮึ่ม! ไอ้สารเลวพวกนี้ต้องไม่ได้มาดีแน่! ข้าไม่ไปหรอก! เจ้าไปบอกพวกนั้นด้วยว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงปลีกวิเวก! ช่วงนี้ไม่ว่างออกไปพบใคร!”
ทุกครั้งที่พวกนั้นมาขอพบเขาไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลย!
และคราวนี้ใครจะรู้ว่า พวกนั้นจะนำเรื่องน่าปวดหัวอันใดมาให้เขาอีก?
และไม่นานมานี้ หรงซิวได้นำกองทหารของเขาไปสังหารคนเพื่อแก้แค้นเป็นการส่วนตัวอีก!
ในช่วงเวลาที่สถานการณ์แปรปรวนเช่นนี้ การที่พวกนั้นมาหาเขาถึงที่ ก็ไม่ต่างจากการหาเหาใส่หัวเลยมิใช่หรือ?
ไม่เอา! อย่างใดก็ไม่ออกไปเจอเด็ดขาด!
เยี่ยนชิงชะงักไปนิด พลันเอ่ย
“ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้เรื่องที่ท่านนัดเล่นหมากรุกกับองค์ชายในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแล้ว พวกเขาเองก็…รู้ข่าวแล้วด้วย”
ระยำจริงเชียว เจ้าพวกเห็บหมัด กล้าดีอย่างใดส่งคนมาดักล้อมเขาเช่นนี้?
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกรู้สึกหงุดหงิดมาก
และพอเห็นปฏิกิริยาของเขา เยี่ยนชิงก็รู้ได้ทันทีว่าควรเงียบปากไม่พูดอันใดอีกจะดีที่สุด
แต่ข้อความเหล่านั้น จะไม่แจ้งให้ทราบคงไม่ได้
สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้า แล้วพูดออกมาเบาๆ
“พวกเขายังบอกด้วยว่า จะรอท่านอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน ท่านเสร็จธุระยามใด ค่อยออกไปเจอพวกเขาก็ได้”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเป่าเครายาวดังฟู่ด้วยความโกรธ พลันจ้องมองเขาตาเขม็ง สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องไปสินะ
เช่นนี้แล้ว หากไม่ไป คนจากพรรคหมิงเหล่านั้นคงต้องถูกตำหนิอีกแน่
กระทั่งร่างเงาของผู้อาวุโสหายลับไปจากครรลองสายตา หรงซิวถึงได้ยืดหลังนั่งตัวตรงอย่างจริงจัง
และเพียงขยับมือ พรมแดนไวฑูรยะชิ้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนกระดานหมากรุก
แสงแดดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง สะท้อนลงบนพรมแดนไวฑูรยะใส ราวเส้นแสงสดใสที่กำลังเคลื่อนไหว
ตามมาด้วยชิ้นที่สอง
และชิ้นที่สามตามลำดับ
…
หรงซิวหยิบพรมแดนไวฑูรยะออกมาทั้งหมดหกชิ้น และวางไว้บนกระดานหมากรุก
ถึงจะมีผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกคอยควบคุม แต่นั่นก็เป็นคนของตระกูลเขา ซึ่งตรงข้ามกับเขาที่มักจะถูกฝั่งนั้นขัดขวางเสมอ
หรงซิวยิ้มอย่างเฉื่อยชา พลางเย้ยหยันเสียงแหบพร่า
“สิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นก็คือ ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหก”
หลังจากเชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว พลพรรคทั้งหมดก็ซื่อสัตย์มากขึ้น และแม้ว่าพวกเขาคิดอยากจะสร้างปัญหา แต่พวกเขาก็ต้องชั่งน้ำหนัก ไตร่ตรองความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ไม่สามารถเอะอะโวยวายได้
เยี่ยนชิงก้มศีรษะลง และตอบกลับ
“ขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลา”
พอพูดจบ เขาก็ถอยออกไปด้วยความเคารพ
และหลังจากปิดประตูบานหนา ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงซิวถึงได้เคลื่อนสายตามองไปด้านหน้า
“ออกมาได้แล้ว”
ร่างสีขาวขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากที่ซ่อนของตน มันคือเสวี่ยเสวี่ย!
มันเดินเข้าไปหาหรงซิว แล้วนอนหมอบลงบนพื้น ดวงตาสีฟ้าน้ำแข็งคู่นั้นจับจ้องมองเพียงหรงซิวผู้เดียว
หาได้ยากที่มันจะทำตัวน่ารักว่านอนสอนง่ายเช่นนี้
แต่สวรรค์รู้ดีว่าตอนนี้มันกำลังจะบ้าตายอยู่แล้ว!
เพราะมันคิดถึงนางผู้นั้นมาก!
หรงซิวเหลือบมองมันแวบหนึ่ง
“เจ้าคิดว่าลูกไม้เช่นนี้ใช้ได้กับทุกคนหรือ?”
สีหน้าออดอ้อนของเสวี่ยเสวี่ยพลันแข็งทื่อ และกรงเล็บที่กำลังจะทำท่าตุ้งติ้งเสมือนแมวน้อยแสนสน ก็ถึงกับชะงักค้างกลางอากาศ ไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
หลังจากมึนงงอยู่พักหนึ่ง มันก็ดึงอุ้งเท้ากลับมาด้วยความโกรธและเสียใจ พลันสะบัดหัวไปด้านข้างอย่างงอนง้อ พลางสะอื้นครางฮือฮาราวไม่พอใจออกมาจากลำคอ
มันต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่นและนุ่มนวล!
แววตาของหรงซิวเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“ฝันไปเถอะ”
เสวี่ยเสวี่ย “…”
หรงซิวพูดต่อ
“โอ้ จริงสิ ลืมบอกเจ้าไปเลยว่านางได้เก้าจิ๋วคืนมาแล้ว”
ทันใดนั้น เสวี่ยเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้น พลันเบิกตากว้าง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...