ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจ
นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ
โลกใบนี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เมื่อครู่นางเอ่ยด้วยเสียงสุภาพอ่อนหวาน อีกฝ่ายกลับเฉยเมยไม่แยแส
พอนางไม่ทันระวังพลั้งปากพูดออกไป เขากลับรู้สึกดีเสียอย่างนั้น?
แม้การใช้คำว่า “หลั่งน้ำตาด้วยความปิติ” มาอธิบายถึงอีกฝ่ายจะไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ในสมองอันว่างเปล่าของฉู่หลิวเยว่ก็คิดคำอื่นไม่ออกแล้วเช่นกัน
“คือว่า…”
นางเปิดปากพูดขึ้นอย่างลังเล แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอันใดออกไปดี
พี่เป่า…
ฟังแล้วคงไม่ใช่ชื่อจริง เมื่อครู่ดูเจ้าหนุ่มนั่นตะโกนเรียกเขาเช่นนี้ สีหน้าเขาเองก็ดูไม่ค่อยดีนัก
ทว่าเมื่อนางเป็นคนเรียก เหตุใดเขาจึงดูมีความสุขถึงเพียงนั้นกัน?
“ข้าล่ะ ข้าล่ะ! นังหนู ยังมีข้าอีกนะ!”
ไม่รอให้ฉู่หลิวเยว่ได้พูดอันใด ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าที่อยู่ด้านข้างพลันโพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าท่าทีที่คาดหวัง
นังหนูตะโกนเรียกต้าเป่าได้ ย่อมต้องเรียกชื่อพวกเขาออกมาได้เช่นกัน!
ถึงแม้ว่านางจะลืมพวกเขาไปแล้ว ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณบางอย่างหลงเหลืออยู่ ย่อมไม่หายสาปสูญไปหมดหรอกน่า!
หลานเซียวปรายตามองแวบหนึ่ง อารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง เขาแค่นเสียงในลำคอเบาๆ
“โวยวายเป็นเด็กร้องขอลูกอมไปได้!”
หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้วล่ะก็ ตู๋กูโม่เป่าคงวิ่งไล่ตีหลานเซียวไปแล้ว
แต่ว่าตอนนี้สภาพอารมณ์ของเขาดีอย่างยิ่ง จึงไม่คิดเอาความอันใดกับหลานเซียว
เขาไม่แม้แต่จะมองหลานเซียวด้วยซ้ำ เขาตอบกลับไปประโยคหนึ่งอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“เวลาเจ้าทำตัวเอะอะโวยวาย ใครกันที่คอยหยุดเจ้า? หรือเจ้าจะลองดูหรือไม่ ว่านังหนูจะตะโกนเรียกเจ้าหรือไม่?”
หลานเซียวกัดฟันกรอด พยายามอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะสงบสติอารมณ์ของตนได้
“ข้าไม่ทะเลาะกับเด็กอมมือหรอกนะ!”
ดวงหน้านี้เป็นดวงหน้าที่เขาโปรดปรานมากที่สุด ไม่สามารถทำลายตามใจอยากได้
ไม่คุ้มค่า ช่างไม่คุ้มค่าเลยเสียจริง
บัดนี้ตู๋กูโม่เป่าไม่คิดโกรธเคืองหลานเซียวเลยแม้แต่น้อย
ใจของเขาในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความพออกพอใจและความสุขีที่ล้นปรี่
แม้ว่าจะพยายามยับยั้งสุดความสามารถแล้ว ทว่ารอยยิ้มบริเวณหางตาก็ยังคงแผ่ออกมาอยู่ดี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามอันกระตือรือร้นของผู้อาวุโสลำดับห้า หางตาฉู่หลิวเยว่พลันกระตุก
ชื่อ… เรียกว่าอันใดกัน?
พี่เป่าสองอย่างนั้นหรือ!?
นางจำไม่ได้จริงๆ!
คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเหตุใดนางจึงตะโกนเรียกชื่อนั้นออกมา…
ตอนนี้ นางแน่ใจแล้วว่าครั้งหนึ่งตนเคยรู้จักคนเหล่านี้จริงๆ
ทว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างใดยังไม่รู้แน่ชัด
คนทั้งสามนี้พละกำลังแข็งแกร่งอย่างมาก ต่อให้เป็นนางที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุด เมื่อมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่มีค่าพอให้ปรายตามองเสียด้วยซ้ำ
โดยปกติแล้ว นางควรแสดงความเคารพนอบน้อมอย่างมากต่อพวกเขาถึงจะถูก
ทว่าสุ้มเสียงที่นางเอ่ยออกไปตอนนั้น นางทำไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ…
นางไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนกัน ถึงได้กล้าทำเช่นนั้น?
ผู้อาวุโสลำดับห้ารออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เอ่ยอันใดตอบก็เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาอยู่บ้าง
“นังหนู เจ้าลองคิดดูดีๆ อีกทีนะ? ข้าเอง! ชื่อข้ามีสี่ตัว…”
“เขาคือผู้อาวุโสลำดับห้า”
ตู๋กูโม่เป่าพลันเอ่ยปากขึ้นมา
สีหน้าของผู้อาวุโสลำดับห้าพลันแข็งค้าง บริเวณหน้าผากมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาไม่หยุด
“พี่เป่า! เจ้าทำอันใดน่ะ!”
“ไม่เห็นหรือไรว่านางคิดไม่ออกแล้วน่ะ? จำชื่อข้าได้คนเดียวก็ไม่ง่ายแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงได้ตั้งเงื่อนไขสูงนัก? อีกอย่าง ชื่อข้ามีตั้งสี่ตัว ชื่อของเจ้านางก็ต้องจำได้แล้วหรือไม่ เหตุใดต้องมานึกย้อนอีก?”
ตู๋กูโม่เป่าชี้ไปทางหลานเซียว
“เขาคือ…”
“ข้าชื่อหลานเซียว!”
หลานเซียวตรงไปตรงมาอย่างมาก เขาเอ่ยชื่อของตนออกมาทันทีพลางกลอกตาใส่ตู๋กูโม่เป่าไปรอบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง…ตอนนี้ในบรรดาคนทั้งสาม เหลือชื่อของพี่เป่าที่นางยังไม่รู้…
นางรีบประมวลผลในทะเลความคิดอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าราชวงศ์เทียนลิ่งจะไม่เคยมีผู้แข็งแกร่งที่มีนามเหล่านี้มาก่อน…
ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงคนเหล่านี้ได้เช่นกัน
เช่นนั้น… หากไม่ใช่คนของราชวงศ์เทียนลิ่ง คนเหล่านี้ก็ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายจากยุทธภพ
นางเคยไปแดนภังคะอยู่หลายครั้งทีเดียว ทว่ากลับไม่มีภาพของคนเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
แต่ถ้าหากมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ก่อนนี้นางคิดว่าความทรงจำของตนสมบูรณ์มาโดยตลอด หากมิใช่เพราะเรื่องราวที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันเช่นนี้เป็นตัวพิสูจน์ว่านางสูญเสียความทรงจำไปบางส่วนจริงๆ แล้วล่ะก็ นางเกรงว่าตนไม่มีทางเชื่อเรื่องราวทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน
เช่นนั้น อดีตที่มีร่วมกับคนเหล่านี้ ก็ควรจะสูญหายไปแล้วพร้อมกับความทรงจำส่วนนั้นของนาง
เห็นสีหน้าท่าทีตกตะลึงแลประหลาดใจของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสลำดับห้าอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน
“ที่ทะเลทรายจันทราสีชาดนั่นปะไร! เมื่อก่อนมันเป็นที่ที่เจ้าชอบไปมากที่สุด! ไปแต่ละครั้งก็มักจะอยู่นานเลยทีเดียว!”
ทะเลทรายจันทราสีชาดหรือ…
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ
ในความทรงจำ ทะเลทรายจันทราสีชาดดูเป็นสถานที่ที่นางไปน้อยที่สุด
ทว่าพวกเขากลับเอ่ยว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางชอบไปบ่อยที่สุด…
“เช่นนั้น…”
ฉู่หลิวเยว่คิดจะเอ่ยถามอย่างละเอียด ทว่าตู๋กูโม่เป่าพลันเงยศีรษะขึ้นมามองเสียก่อน
“จวนได้เวลาแล้ว”
สีหน้าของหลานเซียวและผู้อาวุโสลำดับห้าพลันเปลี่ยนไป
“เหตุใดจึงได้เร็วนัก?”
หลานเซียวย่นหัวคิ้ว
พวกเขาออกมากันนานขนาดนี้แล้วหรือ?
ยังไม่ทันได้พูดประโยคที่สองกับนังหนูเลย ก็ต้องไปแล้วหรือ?
จากกันครั้งนี้ก็ต้องรออีกหนึ่งเดือนเชียวนะ!
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“เวลาอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าตอบโดยไม่รู้ตัว
“เวลาที่พวกเราสมควรจะกลับไปแล้วน่ะซี”
กลับไป?
กลับ… ทะเลทรายจันทราสีชาดน่ะหรือ?
ฉู่หลิวเยว่มิได้ถามอันใดออกไป ทว่าในใจกลับคิดถึงคำตอบนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
นางชะงัก
แล้วนางรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างใดกัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...