หนึ่งนายหนึ่งบ่าวรับใช้เดินไปข้างหน้า
แดดก็ร้อน ทรายก็ร้อน
แต่ฝีเท้าของหรงซิวก็ก้าวไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ความเร็วสม่ำเสมอ
หากมีคนอยู่ตรงนี้ และสังเกตอย่างละเอียดก็จะรู้ว่า เท้าของหรงซิวนั้นไม่ได้แตะกับพื้นทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเลย
ทุกย่างก้าว ฝ่าเท้าของเขาอยู่ห่างจากพื้นทรายนั้นประมาณครึ่งชุน
ดูเหมือนว่ากำลังเดินอยู่บนพื้นทราย แต่ความจริงแล้วเขาเดินอยู่บนอากาศต่างหาก
อีกทั้งเดินไปทางไหนก็ไม่เหลือร่องรอยทิ้งเอาไว้เลย
เสวี่ยเสวี่ยที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
“เหมือนว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็ไม่ได้สูญเปล่าสินะ คาดไม่ถึงว่าระดับการบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะมาถึงขั้นนี้แล้ว…”
เสียงของตู๋กูโม่เป่าดังขึ้น เสียงนั้นเหมือนดังที่ข้างหูก็ไม่ปาน
หรงซิวยิ้มบางๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชมขอรับ”
ตู๋กูโม่เป่าแค่นหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครั้ง
เดิมทีเขาตั้งใจจะให้บทเรียนกับเด็กคนนี้ แต่ตอนนี้พวกเขาได้รู้ว่า วิธีทั่วไปก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำอันใดเขาได้อีกต่อไปแล้ว
หรงซิวสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย!
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถามอย่างใด หรงซิวก็ยังไม่ยอมพูดออกมาว่าเกิดอันใดขึ้นกับร่างกายของนังหนูเย่วเออร์ เขาเอาแต่ยืนหยัดว่าเรื่องนี้ต้องให้เจ้าตัวมาพูดเอง
แต่ว่าตอนนี้นังหนูนั้นยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร แล้วนี่เขายังจะพูดอันใดได้อีกงั้นหรือ?
หลานเซียวทอดถอนหายใจเสียงเบา พร้อมพูดอย่างอดไม่ได้ว่า
“ถ้าพวกเราออกจากที่บ้าๆ แห่งนี้ก็พอแล้ว…แล้วเหตุใดต้องมาวุ่นวายกับเด็กมันอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยล่ะ?”
ผู้อาวุโสลำดับห้าพูดอย่างใจเย็น
“อย่าฝันกลางวันไปหน่อยเลย”
“ใครฝันกลางวัน?” หลานเซียวเถียงกลับอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ถ้านังหนูไม่เกิดเรื่องและเข้ามาอย่างราบรื่น ไม่มีอันใดผิดพลาด ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะได้รับการปล่อยตัวออกมาในตอนนี้ก็ได้!”
แต่ใครจะรู้เล่าว่าระหว่างทางอาจจะเกิดอุบัติเหตุมากมายขึ้น?
พวกเขาอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว กว่าจะได้พบนังหนูก็ยากลำบากอย่างมาก ดังนั้นจึงเห็นประกายแสงแห่งความหวัง แต่สุดท้าย…
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะต้องรอคอยอีกครั้ง
“อย่าเพิ่งคิดอันใดมากเลย ตอนนี้นังหนูยังไม่ผ่านระดับหกเลยด้วยซ้ำ…”
ผู้อาวุโสลำดับห้าชะงักไป น้ำเสียงของเขาดูจริงจังขึ้นมาก
“อีกทั้งเรื่องที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ตอนนี้นางไม่ได้มีเส้นชีพจรเทียนจิงอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น เสียงรอบข้างก็พลันเงียบไป
ตู๋กูโม่เป่าและหลานเซียวต่างก็เงียบไปพร้อมกัน
เพราะว่านี่เป็นเรื่องที่เขากังวลมากที่สุดเช่นกัน
แม้ว่าฝีมือของเขาจะหยุดชะงัก และต่อให้ไม่ได้จับชีพจรด้วยตัวเอง พวกเขาก็สามารถเห็นปราณภายในร่างกายของฉู่หลิวเยว่ได้อย่างชัดเจน พร้อมสามารถเห็นเส้นชีพจรและระดับของนางได้
นั่นจะต้องเป็นชีพจรตี้จิงอย่างแน่นอน ไม่ใช่ชีพจรเทียนจิง!
“ตอนนี้นางไม่ใช่เส้นชีพจรเทียนจิงอีกแล้ว แต่ในอนาคตนางจะต้องเป็นคนที่อยู่เหนือโลกเหมือนกันไม่มีเปลี่ยน”
ทันใดนั้นตู๋กูโม่เป่าก็พูดด้วยเสียงที่หนักแน่น
นั่นคือความภูมิใจและมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง!
“พวกเราทั้งหลายช่วยกันสอนมา ใครจะมาสู้นางได้!”
“หากนางลืม ก็สอนนางใหม่อีกครั้งก็พอแล้ว!”
…
ซีหลิง
ช่วงนี้ตระกูลเจียงคึกคักอย่างมาก
ด้านหนึ่งคือการเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานของคุณชายใหญ่กับองค์หญิงสาม อีกด้านหนึ่งก็ต้องเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของคุณหนูสี่และตระกูลซย่าโหว
คนที่อยู่ในจวน ตั้งแต่เจ้านายจนถึงลูกน้องล้วนวุ่นวายกันไปหมด ในบรรดาทั้งหมดนี้ เจียงอวี่เฉิงกลับเป็นคนที่ว่างที่สุด
เวลาส่วนใหญ่เขาใช้ไปกับการพักฟื้นร่างกายในห้องของตัวเขาเอง นอกเสียจากสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากเขาแล้ว งานนอกเหนือจากนี้เขาล้วนยกให้กับลูกน้องจัดการทั้งหมด
เช้าวันนี้เจียงอวี่เฉิงได้ทานยาไป จากนั้นก็วางแผนออกจากจวน
เมื่อเขาเพิ่งมาถึงที่หน้าประตูจวน เขาก็ทันเห็นว่า ซุนฉีพาคนสามคนก่อนจะเดินออกจากจวนไป
แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ด้านหน้าสุด เขาก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก เจียงอวี่เฉิงหรี่ตามอง
อวี่เหวินเว่ย?
เขามาที่นี่เหตุใด ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ในทันที
“คุณชายใหญ่หมายความว่า…”
“เรื่องทั้งหมดนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว วันนี้ข้ายังมีธุระอีก ขอตัวก่อนนะขอรับ หากท่านมีคำถามอื่นใด สามารถไปปรึกษากับท่านพ่อของข้าได้”
เมื่อพูดจบเจียงอวี่เฉิงก็พยักหน้าเป็นสัญญาณ จากนั้นก็สาวเท้าเดินออกไป
คนที่เหลือก็มองตามไปด้วยความเงียบ
ไม่มีใครคาดคิดว่า เจียงอวี่เฉิงจะรีบร้อนเดินจากไปเช่นนี้…
นี่เขามาหาอีกฝ่ายเพื่อหารือเรื่องงานมหามงคลสมรสนะ!
เหตุใดเขาถึงผลักทุกอย่างออกจากตัวแบบนี้เล่า?
เรื่องธุระที่เขาจะไปนั้น สำคัญกว่าการแต่งงานกับองค์หญิงสามอีกหรือ?
ซุนฉีมองไปตามทางที่เจียงอวี่เฉิงจากไป แล้วถอนหายใจแค่ภายในใจ
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดคุณชายใหญ่ถึงอารมณ์ไม่ดีตลอด
แม้กระทั่งเขาก็ไม่กล้าสู้หน้า มีเพียงแต่ต้องจัดการเรื่องอย่างระมัดระวัง เรื่องอื่นนั้นเขาไม่กล้าไปถามมาก
เขาประสานมือทำความเคารพอวี่เหวินเว่ย
“ใต้เท้าอวี่เหวิน ข้าน้อยจะนำทางท่านให้ไปพบกับนายท่านนะขอรับ?”
ไม่ว่าอย่างใด ฐานะของท่านผู้ใหญ่ก็ยังมีอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถหยาบคายได้…
อวี่เหวินเว่ยได้สติขึ้นทันที จากนั้นก็ยิ้มออกมา แล้วพูดอย่างเกรงใจว่า
“ไม่ต้องแล้ว พวกเราเข้าใจความหมายของคุณชายใหญ่อย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่ขอรบกวนใต้เท้าเจียงอีกต่อไปแล้ว”
ซุนฉีเองก็ไม่กล้าพูดอันใดมาก จึงส่งแขกออกไปด้วยความเคารพ
หลังจากที่ออกมาจากตระกูลเจียง และเดินมาสักระยะหนึ่งแล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของอวี่เหวินเว่ยก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหวว่า
“นี่คุณชายเจียงหมายความว่าอย่างใดกันแน่? เหตุใดเขาถึงดูเหมือนไม่สนใจงานมงคลสมรสนี่สักนิด”
อวี่เหวินเว่ยครุ่นคิดเล็กน้อย
“เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องไปสนใจหรอก ทำตามที่เขาบอกมาก็พอแล้ว”
ทั้งสองคนจึงตอบรับเสียงเบา “…ขอรับ!”
อวี่เหวินเว่ยหันกลับไปมองจวนตระกูลเจียงอีกครั้งด้วยสายตาสื่อความหมาย
ดูเหมือนว่าคุณชายเจียงผู้นี้จะไม่ได้ใส่ใจองค์หญิงสามอย่างที่แสดงออกมาแน่นอน…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...