ซย่าโหวถิงอันตกตะลึงกับปฏิกิริยาของเขา พลันก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงคอเสื้อไว้เสียก่อน
“ว่าอย่างใด! วันนั้นเจ้าได้ยินทั้งหมดแล้ว ใช่หรือไม่!?”
ซย่าโหวหรงตะคอกถามอย่างรุนแรง
“พะ พ่อ แค่กๆ!”
ซย่าโหวถิงอันจับมือของเขาไว้แล้วพยายามแกะง้างมันออกจากลำคอ พลางไอโขลกออกมาอย่างอึดอัด
“ขะ ข้าแค่…ได้ยินนิดเดียว…แค่กๆ…”
ทว่าซย่าโหวหรงไม่เชื่อ
ใบหน้าของเขามืดมนลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ไหนแต่ไร ซย่าโหวถิงอันไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้าเช่นนี้เลยสักครั้ง และจำต้องกล้ำกลืนคำพูดที่เหลือกลับไปอย่างจำยอม
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ซย่าโหวหรงก็ปล่อยมือแล้วยืนขึ้น
“เจ้าต้องไปที่จวนตระกูลเจียงกับข้า และเมื่อถึงที่นั่นแล้ว ก็จงนำถึงสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ ไปบอกกับเจียงอวี่เฉิง แต่เจ้าห้ามให้เขาจับได้เด็ดขาด ว่าเจ้าได้ยินอันใดมาบ้าง เข้าใจหรือไม่?”
ซย่าโหวถิงอันพยักหน้าอย่างกังวล
ซย่าโหวหรงจ้องมองบุตรของตนด้วยแววตาลึกล้ำ และแอบถอนหายใจเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่าในเมืองซีหลิงนั้น ยังมีคนที่ต้องการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงใหญ่อยู่
และคนเหล่านี้อาจมาจากเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ หรือปรปักษ์ชั้นรากหญ้าก็เป็นได้
นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขากังวล…
เพราะบางทีคนเหล่านั้นอาจ…กลับมาแล้วก็ได้!
…
ณ ทะเลทรายจันทราสีชาด
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดนางก็ล้มหุ่นเชิดตรงหน้าลงกับพื้นได้ ภายในเวลาหนึ่งเค่อ!
ทั่วทั้งร่างกายของนางแทบจะเต็มไปด้วยบาดแผล อีกทั้งคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากอีก สภาพของนางช่างดูน่าสมเพชยิ่งนัก
ตลอดหนึ่งเดือนที่ต้องฝึกฝนอย่างหนักในสถานที่แบบนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้ตายไปแล้วหลายครั้ง
แต่เมื่อใดก็ตามที่นางรู้สึกท้อแท้ นางก็อาศัยความปรารถนาเดียวในใจที่ยังมีอยู่ เพื่อต่อต้านความรู้สึกสิ้นหวังเหล่านั้น!
อย่างใดเสีย การฝึกหนักก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว!
เพราะนอกจากพละกำลังทางกายภาพของนางจะเพิ่มขึ้นแล้ว ทักษะการโจมตีของนางก็ดีขึ้นมากด้วย และในขณะที่นางกำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดตัวนี้ จู่ๆ นางก็บังเอิญทะลวงผ่านถึงระดับหก!
ก่อนหน้านี้ นางใช้เวลาอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงหนึ่งปี และได้สะสมพลังปราณดั้งเดิมไว้มากมาย อีกทั้งช่วงนี้ ที่นางได้ต่อสู้กับหุ่นเชิดเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้พลังในการต่อสู้ของนางพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และทำให้การทะลวงระดับอย่างฉับพลันนั้น แลดูกลายเป็นเรื่องปกติ
“พี่เป่า! ข้าชนะแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่หอบ หายใจอย่างหนัก พร้อมเอ่ยอย่างปลื้มปริ่ม
ข้างกายนางนั้นมีหุ่นเชิดระดับเจ็ด ที่ถูกทุบจนเละเป็นชิ้นๆ นอนระเกะระกะอยู่
ทว่าครั้นจบประโยค กลับไร้ซึ่งเสียงตอบกลับที่รอคอย
บริเวณรอบข้างเงียบสงัด
ฉู่หลิวเยว่ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปใกล้ๆ ทะเลสาบ
“พี่เป่า?”
จากนั้นเสียงของพี่เป่าถึงได้ดังรอดเข้ามาในกกหู
“พวกข้าเห็นแล้ว เจ้าทำได้ดีมาก”
หลังจากอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกคุ้นเคยกับพวกเขามากขึ้น
แต่ไม่รู้เหตุใด ยามนี้น้ำเสียงของพี่เป่ากลับฟังดูผิดปกติไปจากเดิม…
นางกะพริบตาและถามอย่างลังเล
“พี่เป่า เหตุใดเจ้าถึงดูไม่ยินดีเลยเล่า?”
อันที่จริง จะว่าฟังดูไม่ยินดี ก็ไม่ใช่ แต่มันเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังระงับความโกรธไว้มากกว่า
แม้ตอนพูดน้ำเสียงของเขาจะฟังดูสงบนิ่ง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉู่หลิวเยว่กลับสัมผัสได้ว่าเขากำลังหงุดหงิด
หรือจะมีใคร… ไปสะกิดต่อมโมโหของเขาหรือไร?
“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก”
พี่เป่าพูดตัดบทสั้นๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า หลังจากเอาชนะได้ เจ้าจักกลับไปที่ซีหลิง ใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
พอลองคำนวณเวลาดูแล้ว ถ้ากลับไปตอนนี้ก็น่าจะยังทันอยู่
“ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไป”
พี่เป่าตอบกลับเสียงเรียบ
คราแรกฉู่หลิวเยว่รู้สึกดีใจมาก ทว่าหลังจากนั้นกลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป
ขนงเรียวพลันขมวดมุ่น
“พี่เป่า เจ้าไม่เป็นอันใดจริงๆ ใช่หรือไม่?”
พี่เป่าไม่ได้ตอบนางกลับ
แต่ทันใดนั้น ทรายสีเหลืองใต้ฝ่าเท้าของฉู่หลิวเยว่ ก็เริ่มหมุนวนเป็นคลื่นน้ำ!
และเพียงพริบตา ทิวทัศน์ด้านหน้าของนางก็เปลี่ยนไป!
นางพยายามรวบรวมสติแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะตระหนักได้ว่า พี่เป่าส่งนางกลับมายังสามแยกจุดตัดอาณาเขตต่างๆ ของแดนภังคะแล้ว!
จากนั้นนางก็เห็นร่างเงาของใครบางคน พุ่งมาจากทิศของทะเลทรายจันทราสีชาด!
ฉู่หลิวเยว่ค้นพบว่า แม้ดูเหมือนว่าพวกเขาจักต้องพบเจอกับเรื่องทรหดมามาก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขา ก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเยอะ
คงเพราะ… ได้พวกพี่เป่าช่วยไว้สินะ?
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่นในใจ
“ถ้าสงสัยอันใดก็เอาไว้กลับไปคุยกันทีหลัง ส่วนตอนนี้เราควรกลับไปที่ซีหลิงก่อน!”
หลายคนไม่ได้คัดค้าน
ฉินอีจึงเอ่ยต่อ
“พวกข้าเองก็จะกลับซีหลิงเช่นกัน ฉะนั้นก็กลับไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับเบาๆ
“ตกลง”
สุดท้ายพวกเขาจึงตัดสินใจกลับไปยังซีหลิงพร้อมกัน
มู่หงอวี่กล่าว
“ข้าจำได้ว่าเราต้องข้ามผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายสองสามเครื่อง ถึงจะไปยัง…”
แต่ก่อนจะได้พูดจบ ก็มีค่ายกลสีฟ้าก่อตัวขึ้นมาห่อหุ้มทุกคนไว้!
ฉู่หลิวเยว่ใจกระตุกวูบ นี่คงเป็นฝีมือของพี่เป่า…
ขณะเดียวกัน เสียงของพี่เป่าก็ดังขึ้นในหูของนาง
“กลับไปทำตามประสงค์ของเจ้าเสีย”
แม้ว่ามันจะเป็นเสียงอ้อแอ้ประหนึ่งเด็กแรกเกิด แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว มันสงบและมั่นคง เต็มไปด้วยพลังที่ทำให้คนฟังรู้สึกแน่วแน่ตามไปด้วย
ฉู่หลิวเยว่มั่นใจขึ้นกว่าเดิมมาก
นางหันไปทางทะเลทรายจันทราสีชาดพร้อมแสดงความเคารพ และพูดอย่างจริงจัง
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านผู้อาวุโส”
หลังจากพูดจบ ค่ายกลสีฟ้าก็ส่องแสงออกมา!
ร่างของคนหลายคนพลันหายไปในพริบตา!
…
บนถนนที่แผ่ขยายไปทั่วเมืองซีหลิง ถูกประดับประดาด้วยโคมไฟและงานรื่นเริง ผู้คนมากมายต่างส่งเสียงเฮฮากันถ้วนหน้า
เนื่องจากในอีกสามวันข้างหน้า จักถึงวันอภิเษกสมรสขององค์หญิงสาม และเป็นวันขึ้นครองราชย์ของนาง ดังนั้นทั่วทั้งเมืองซีหลิงจึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองตามทำเนียมสิบวัน ซึ่งก็คือการดื่มฉลองก่อนอภิเษกสมรสสามวัน และหลังอภิเษกสมรสอีกเจ็ดวัน
ที่จวนตระกูลเจียงเอง ก็มีจุดโคมไฟส่องสว่างไสว
เมื่อได้ยินเสียงจอกแจกจอแจข้างนอก หัวใจของเจียงอวี่เฉิงก็พลันสั่นไหว
“ข้าจะออกไปเดินเล่น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากกกค่ะ...
สนุกมากค่ะ...
อ่านสนุกมากค่ะ ติดตามอ่านทุกตอน...