เป็นเวลาอยู่นานกว่าหรงเจินจะได้สติกลับมา
แค่เจินเป่าเก๋อเล็กๆ ถึงกับแตะต้องไม่ได้เชียวหรือ
นางมีสถานะสูงส่งเป็นถึงองค์หญิงสี่แห่งแคว้นเย่าเฉิน ตอนนี้กลับต้องมากลายเป็นเช่นนี้ นางไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งหาคนมารับผิดชอบเชียวหรือ
“เสด็จแม่ เจินเป่าเก๋อ…มีเบื้องหลังอย่างไรกันแน่ เหตุใดเสด็จพ่อถึงได้ปกป้องพวกเขาขนาดนี้ จนถึงขั้นไม่สนใจแม้กระทั่งความเป็นความตายของลูกเลยหรือเพคะ!”
หรงเจินไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“เรื่องของเสด็จพี่ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกัน เจินเป่าเก๋อแย่งพื้นที่ล่าสัตว์ที่เสด็จพี่อุตส่าห์ทะนุถนอมไป แต่สุดท้ายกลับทำสิ่งใดไม่ได้เลย!”
“เจ้าก็รู้ว่าแม้กระทั่งรัชทายาทก็มิสามารถแตะต้องเจินเป่าเก๋อได้ง่ายๆ!”
ฮองเฮาตัดบทของนาง
คนหนึ่งคือพระโอรสของนาง อีกคนหนึ่งก็คือพระธิดาของนาง เหตุใดนางถึงจะไม่โกรธแค้นเล่า
เพราะฉะนั้นหากรู้ตั้งแต่ทีแรกว่าฝ่าบาทมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเจินเป่าเก๋อ เมื่อครู่นี้นางก็คงขอร้องไปแล้ว
แต่ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามคาด
ฝ่าบาทไม่ได้ตั้งใจจะลงเจินเป่าเก๋อตั้งแต่แรก!
“แต่ถึงอย่างไร ก่อนหน้านี่เจ้าอยากไปพื้นที่ล่าสัตว์นั่นตั้งหลายครั้ง เจินเป่าเก๋อก็ปฏิเสธกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเจ้าก็รั้นจะไปจนได้ พวกเขาถึงได้จนใจยอมตกลงให้ เรื่องนี้ใครๆ ต่างก็ทราบดี! ตอนนี้เจ้าเกิดอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บแล้วจะโทษใครได้อีก คนมากมายในพื้นที่ล่าสัตว์ต่างเห็นชัดเจนว่าเจ้าดึงดันที่จะตามล่าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเอง จนสุดท้ายต้องตกหน้าผาลงไป ต่อให้หาคนมารับผิดชอบ แล้วต้องให้มารับผิดชอบด้วยเหตุผลอะไร”
ฮองเฮาเองก็เสียใจที่มิสามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้[1]
เรื่องนี้หรงเจินช่างเอาแต่ใจไร้เหตุผล เรื่องมันถึงได้กลายมาเป็นเยี่ยงนี้ ฉะนั้นนางก็ทำได้เพียงยอมรับมันเท่านั้น!
หรงเจินถูกต่อว่าจนพูดไม่ออก
แต่นางเป็นคนหยิ่งทระนงมาตลอด นางจะยอมรับความเสียใจนี้ได้อย่างไร
นางจะต้องกลายเป็นคนพิการอย่างนี้ตลอดไปเลยหรือ
นางจะทำใจได้อย่างไร!
ฮองเฮาพยายามข่มอารมณ์ที่กำลังเดือดพลุ่งพล่านแล้วเอ่ยว่า
“เจินเจินวางใจ แม่จะไม่ทอดทิ้งเจ้า หากคนพวกนี้ไร้หนทางรักษา เราค่อยหาวิธีกันใหม่ อีกไม่นานราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่งก็จะมาแล้ว ไม่แน่พวกเขาอาจจะมีวิธี…”
ดวงตาของหรงเจินเป็นประกาย
“จริงหรือเพคะ”
ฮองเฮาฝืนยิ้ม
“ราชวงศ์เทียนลิ่งยิ่งใหญ่เพียงใดเจ้าก็รู้ดี ไม่แน่…พวกเขาอาจหาทางรักษาให้เจ้าได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง แม่จะต้องช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”
…
ตกดึก
ฉู่หลิวเยว่กลับถึงบ้านแล้ว นางรออยู่นานกว่าฉู่หนิงจะกลับมา
ฉู่หนิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฉู่หลิวเยว่ฟังพอสังเขปแล้วถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า
“น่าเสียดาย เมื่อก่อนองค์หญิงสี่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลว มิฉะนั้นฝ่าบาทก็คงไม่ภูมิใจขนาดนี้หรอก แต่จากนี้ไปก็คง…”
คิดถึงครั้งเมื่องานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชายรัชทายาท หรงเจินบีบให้ฉู่หลิวเยว่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และหัวเราะเยาะเยว่เอ๋อร์ที่เป็นคนพิกลพิการ
ใครจะไปรู้ว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เยว่เอ๋อร์กลับกลายเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่น ส่วนนางกลับกลายเป็นคนพิการแทนเสียเอง
พวกเขาสองพ่อลูกถูกรังแกเหยียดหยามมานักต่อนัก ตอนนั้นใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะมีวันนี้ได้
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ
“ทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงธรรม ความแค้นครั้งนี้ต้องเอาคืนแน่นอน”
ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้อย่างไรก็ล้วนเป็นเพราะหรงเจินก่อกรรมเองจะโทษผู้อื่นมิได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงลิขิตสวรรค์