ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 129

ตอนที่129 ตกอยู่ในอันตราย

ตาแก่ซงเดินเปิดประตูห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์เข้ามา พลันเห็นว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีกำลังยืนคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ สีหน้าท่าทางดูค่อนข้างจะประหม่าเจือกดดันเล็กน้อย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังพยายามฝืนยิ้มอย่างสุดกำลังในขณะที่เอ่ยกล่าว

“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณเฉิน ผมจะไม่มีวันลืมคำพูดของคุณเด็ดขาด เข้าใจผิดแล้วครับ เข้าใจผิดแล้ว! ผมจะไม่เห็นแก่หน้าคุณได้ยังไง? ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะรีบหาวิธีช่วยอีกฝ่ายแน่นอน เดี๋ยวผมจะส่งคำร้องขึ้นไปหาเบื้องบนโดยตรง อาจารย์ฉีจะต้องได้กลับเข้าทำงานแน่ครับ…ครับ…ครับผม…”

เมื่อได้ฟังบทสนทนาที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ตาแก่ซงก็แอบคิดกับตัวเองว่า

‘หรือเป็นไปได้ไหมที่มีใครบางคนพยายามช่วยให้ฉีเล่ยได้กลับเข้ามาทำงาน? ไอ้เด็กเวรนั่น! อย่างที่ข่าวลือว่ากันจริงๆ หมอนี่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งมาก!’

จากนั้นเขาพลันส่ายหัวสะบัดความคิดไร้สาระเมื่อครู่ทิ้งไปทันที ถ้าเจ้าเด็กนั่นมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งจริง แล้วทำไมถึงโดนไล่ออกง่ายดายแบบนั้นล่ะ? ก่อนหน้านี้เขาแอบไปได้ยินมาว่า เป็นหลินหมิงซางที่ฝากฉีเล่ยเข้ามาสอน ก็เลยเผลอคิดไปว่าเด็กคนนี้น่าจะมีเส้นสายอยู่บ้าง

แต่หลังจากที่ฉีเล่ยโดนไล่ออก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองเข้าใจผิดมาโดยตลอด และคนที่มีความสุขที่สุดคงหนีไม่พ้น ตาแก่ซง อดนึกถึงตอนที่ฉีเล่ยอยู่ในห้องพักอาจารย์แรกๆไม่ได้ แต่วันสองวันนี้เขากลับมายิ่งใหญ่จนทุกคนต่างให้ความเคารพอีกครั้ง ทัศนคติของอาจารย์คนอื่นๆที่มีต่อเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก

เรื่องนี้ทำให้ตาแก่ซงฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง เขาจะไม่มีทางเปิดโอกาสให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงอีกต่อไปอย่างเด็ดขาด เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่งพลางพูดขึ้นว่า

“หนุ่มสาวสมัยนี้ที่เพิ่งเรียนจบ อยู่ในสังคมการทำงานได้ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำก็ทำตัวอวดเก่งไปซะทุกอย่าง ฉันคงต้องหาเด็กปั้นมาอยู่ฝ่ายฉันบ้างแล้วล่ะ คนที่ดูจะมีศักยภาพที่สุดเห็นจะเป็น…เธอนั้นแหละเสี่ยวเกอ เธอเป็นสาวที่ไม่ค่อยพูดมากสักเท่าไหร่ ถนัดลงมือทำมากกว่าพูดโอ้อวด เด็กแบบนี้แหละที่ควรค่าแก่การเป็นอาจารย์”

เสี่ยวเกอที่ยืนฟังอยู่เคียงข้างก็ยกมือปิดปากหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆตอบ

เธอเคยเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก่อน และย่อมทราบดีถึงสังคมภายในมหาวิทยาลัยทั้งฝ่ายของเด็กนักศึกษาและอาจารย์ พูดง่ายๆก็คืออาจารย์ซงคนนี้จงใจจะยืมมือเธอเพื่อจัดการกับฉีเล่ยนั่นเอง หรือก็คือหลอกใช้เธอเป็นเครื่องมือนั่นล่ะ และเธอเองก็ไม่ได้โง่พอที่จะยินดีพอใจให้คนอื่นหลอกใช้

หลังจากวางสาย หัวน้าคณะอาจารย์ซีก็ถึงกับต้องใช้นิ้วนวดคลึงบริเวณขมับทั้งสองข้าง เหลือบมองไปที่ตาแก่ซงและกล่าวว่า

“อาจารย์ซง นั่งลงก่อน”

“ขอบใจ”

ตาแก่ซงพยักหน้าพร้อมเดินไปเข้านั่งบนโซฟา

เขามีญาติเป็นระดับหัวหน้าคณะของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่มีความอาวุโสที่สุดอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงทำตัวราวกับว่าตัวเองมีสถานะเทียบเท่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซี

ปัง!

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีตบโต๊ะเสียงดังลั่น ก่นเสียงเอ่ยขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจว่า

“นี่เราเชิญลูกนายกเข้ามารึไง!”

ตาแก่ซงได้ยินดังนั้นก็ตกใจเอ่ยถามไปว่า

“สายเมื่อกี้คงจะโทรมากดดันให้ฉีเล่ยกลับเข้ามาทำงานสินะ?”

“นี่เป็นสายที่เก้าของวันแล้ว! ทุกสายล้วนแต่เป็นเรื่องของเขาทั้งนั้น! ผมไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยนะว่า ไอ้หนุ่มคนนั้นจะมีภูมิหลังที่ทรงพลังได้ขนาดนี้ มีเจ้าหน้าที่จากแทบทุกหน่วยงานโทรเข้ามา แม้แต่คนจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติยังต่อสายตรงมาหาผม กดดันให้รับหมอนั่นเข้ามาเป็นอาจารย์เหมือนเดิม!”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็แทบอยากจะร้องไห้

ด้านหนึ่งเป็นเหล่าผู้มีอิทธิพลระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน ส่วนอีกด้านก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาหม่า ซึ่งไม่ว่าฝ่ายใด คนตัวเล็กๆอย่างเขาก็ไม่สามารถทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขุ่นเคืองใจได้เลยแม้แต่น้อย หากให้เปรียบเทียบ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการหนีเสือปะจระเข้

แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา เขาทำงานเป็นอาจารย์ ดังนั้นเขาควรเลือกเข้าข้างหม่าตงเป็นการดีที่สุด

เพราะชายชราคนนี้เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพของเขาโดยตรง ถ้าจงรักภักดีต่ออีกฝ่าย ในวันข้างหน้าตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาอาจได้เลื่อนขึ้นและดีกว่าปัจจุบันก็เป็นได้

แต่ถ้าเลือกตัดสินใจแบบนั้น ผู้มีอิทธิพลจากหน่วยงานอื่นๆต่างก็จะต้องขุ่นเคืองเขายิ่งกว่าอะไร ไม่ว่าตัวเขาจะมีพัฒนาการในสายอาชีพการสอนก้าวไกลสักเพียงใด แต่ทั้งชีวิตคงทำได้เพียงแค่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็คงไม่มีหน่วยงานใดที่จะเต็มใจช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนหากเกิดปัญหาขึ้นในวันข้างหน้า

ตาแก่ซงได้แต่แอบประหลาดใจ ในขณะนี้เขาถึงกับรู้แจ้งแล้วว่า การที่ตนทะเลาะกับฉีเล่ยเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นัก แต่ถึงแบบนั้นก็ยังบอกไปว่า

“หัวหน้าซี คุณกำลังทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งของเรานะ ทั้งนี้ก็ยังทำเพื่อปกป้องลูกศิษย์ที่รักของพวกเราอีกด้วย อาจารย์ผู้สอนสาขาแพทย์แผนจีนจำเป็นต้องมีประสบการณ์มากกว่าศาสตร์สาขาอื่นๆ แล้วฉีเล่ยเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน? ต่อให้เริ่มเรียนแพทย์แผนจีนตั้งแต่ครรภ์แม่ ก็ไม่มีทางชำนาญถึงระดับพวกเราแน่นอน!”

หลังจากหยุดนิ่งเฝ้าสังเกตท่าทางการแสดงออกของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีสักพัก เขาก็พูดต่อว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน