ตอนที่135 โรคประสาท
ฉีเล่ยเหลือบสายตามองหญิงสาวเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไปว่า
“คุณต้องการอะไรกันแน่? หรือว่าเจ็บป่วยเป็นอะไรมา?”
หญิงสาวคนนั้นตอบกลับทันที
“ว่ากันว่าหลักการวินิจฉัยของแพทย์แผนจีนคือ ฟังเสียง สอบถาม จับชีพจร ถ้าคุณเป็นแพทย์เลื่องชื่อจริง ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากไม่ใช่เหรอคะ คุณลองวินิจฉัยเอาเองจะดีกว่า ถ้ามัวแต่อธิบายโน่นนี่ยืดยาวแต่สุดท้ายกลับวินิจฉัยโรคของฉันไม่ได้ คุณก็แค่พวกต้มตุ๋นจริงไหม?”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ
“ถูกต้อง”
หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองและกล่าวต่ออีกว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็วินิจฉัยเลยสิ”
ฉีเล่ยก้าวเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวคนนั้น เขาโน้มตัวเข้าไปสบสายตาอีกฝ่ายโดยไม่มีท่าทีประหม่าปรากกฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ใบหน้าของทั้งสองคนแทบจะแนบชิดติดกัน ห่างกันเพียงนิ้วเดียวเท่านนั้น เคลื่อนขยับอีกเล็กน้อย ปลายจมูกคงก็คงจะแตะสัมผัสกันแล้ว ทว่าหญิงสาวคนนั้นก็ปราศจากท่าทีหวาดกลัวเช่นกัน กระทั่งใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง จังหวะหัวใจก็ยังคงเต้นเป็นปกติคงที่ มิหนำซ้ำเธอยังสบตาฉีเล่ยกลับอีกด้วย
หลังจากสบสายตากันอยู่สักพักหนึ่ง ฉีเล่ยก็เป็นฝ่ายผละออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ผิวพรรณสีกุหลาบ เปล่งปลั่งเงางาม สุภาพแข็งแรง จังหวะหัวใจเต้นปกติ นัยน์ตาสุกใส เบื้องต้นสุภาพร่างกายของคุณแข็งแรงดี”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เอื้อมมือออกไปจับข้อมือของหญิงสาวคนนั้นต่อทันที
“ต่อไปก็เป็นการจับชีพจร”
ชูซินซูยังไม่ได้ทันตัวตัวหรือตอบสนองใดๆ เมื่อรู้สึกตัวอีกทีข้อมือของเธอก็ถูกฉีเล่ยคว้าไปแล้ว
เขาเปลี่ยนไป…
ชั่วพริบตาเดียว ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาภายในหัวของชูซินซู
เมื่อครั้งที่พบกันคราแรกบนเครื่องบิน เขายังเป็นแค่ชายหนุ้มขี้อายอยู่เลย แค่ได้นั่งข้างๆกับสาวสวยอย่างเธอ เขายังประหม่าจนทำตัวไม่ถูกด้วยซ้ำไป หรือจะเป็นไปได้ไหมว่า ที่ผ่านมาบนเครื่องบินนั้นเป็นการแสดงทั้งหมด
ครั้งที่สอง เธอได้โทรชวนเขามาที่บ้านเพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกันให้มากขึ้น แต่กลับมีประชุมด่วนเรื่องการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ก็เลยทำให้ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน
แต่มาตอนนี้ เขากลับกลายมาดูเป็นชายหนุ่มที่ก้าวร้าวดุดัน ไม่มีท่าทีของคนที่เก็บซ่อนความภาคภูมิใจไว้ภายใน และถ่อมเนื้อถ่อมตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยแสงสีอย่างปักกิ่งได้เปลี่ยนเขาไปแล้วงั้นเหรอ?
หลังจากที่เขามาถึงที่นี่ เขาถูกบางสิ่งบางอย่างรอบตัวกระตุ้นงั้นเหรอ?
และไม่ว่าจะดูยังไง ตอนนี้เขาก็ดูเป็นคนอันตราย…
มุมปากของชูซินซูกระตุกขึ้นโค้งกลายมาเป็นรอยยิ้มเย้ายวนเล็กน้อย และยังคงปล่อยให้ฉีเล่ยจับชีพจรอยู่แบบนั้นโดยไม่มีท่าทีขัดขืน
ฉีเล่ยใช้สามนิ้วทาบจับชีพจรของเธอ ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็เริ่มวอกแวกดูขี้เล่นมากขึ้น ราวกับว่ากำลังชื่นชมความงามของเรียวมือสวยประดุจหยกขาวของหญิงสาวอยู่
ชูซินซูจึงอดที่จะเอ่ยถามขึ้นไม่ได้
“แพทย์ทุกคนที่จับชีพจรให้คนไข้ผู้หญิง หัวสมองจะฟุ้งซ่านแบบคุณงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า
“คุณเห็นด้วยเหรอว่าสมองของผมฟุ้งซ่าน?”
“ไม่ได้เห็นจากสีหน้า แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก”
“คุณรู้เรื่องจิตวิทยาไหม?”
“อย่าลืมสิว่าฉันเป็นนักธุรกิจนะ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองมากที่สุด ทักษะที่ฉันจำเป็นต้องฝึกฝนให้มากก็คือ การอ่านใจมนุษย์ โดยเฉพาะพวกผู้ชาย เพียงปลายนิ้วขยับหรือหางตากระตุกแค่เล็กน้อย กิริยาทั้งหมดล้วนมีความหมายทั้งนั้น มันสะท้อนให้เห็นถึงจิตใต้สำนึกของคนๆนั้น”
“งั้นช่วยบอกผมทีสิว่า จิตใต้สำนึกของผมกำลังคิดอะไรอยู่?”
ชูซินซูแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปทันที
“คุณกำลังไม่พอใจ แต่ฉันไม่รู้สาเหตุว่าทำไมคุณถึงไม่พอใจ อาจเป็นเพราะฉันบอกให้คุณปู่ทดสอบอะไรโง่ๆกับคุณก็เป็นได้?”
ปลายนิ้วทั้งสามของฉีเล่ยค่อยๆคลายออกจากข้อมือของหญิงสาว เขาตอบกลับไปยิ้มๆ
“สิ่งที่ผมไม่พอใจก็คือ การที่ผมรักษาผู้ป่วย แต่กลับเป็นผมเองที่เกือบพาชีวิตตัวเองตกลงสู่อันตราย แล้วรู้อะไรไหม คนที่ยังกล้าเฉยเมยต่ออันตรายตรงหน้าโดยไม่ทำอะไร นั่นเท่ากับเลือกที่จะตายไปแล้วครึ่งตัว ซึ่งถ้าเป็นผม ผมจะรีบผลักไสสิ่งนั้นออกไปจากชีวิตโดยเร็วที่สุด”
จากนั้นฉีเล่ยก็เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่เปียกประมาณสองสามแผ่นมาเช็ดมือตัวเอง ก่อนจะโยนทิ้งลงถังขยะข้างโซฟา แล้วจึงพูดต่อทันที
“ชีพจรของคุณคงที่ปกติดี ไม่ต่ำหรือสูงเกินควร พูดตามตรงนะคุณชู คุณเป็นคนที่มีสุภาพแข็งแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ดูเหมือนว่าโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อระบบหัวใจของคุณนั้น จวนใกล้จะหายดีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน…”
ฉีเล่ยหมุนตัวกลับไปเอื้อมจับลูกบิดประตูเตรียมจะก้าวออกไปโดยเร็ว แต่เสี้ยวจังหวะนั้นเอง ชูซินชูกลับร้องตะโกนหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน
“แล้วอย่างอื่นล่ะ?”
ฉีเล่ยเอี้ยวศรีษะปรายหางตามองกลับมาเล็กน้อย พลางเห็นชูซินซูที่จู่ๆก็ลุกขึ้นพรวดจากโซฟา
เรือนร่างเพรียวบาง ผิวพรรณเปล่งประกาย ใครเห็นก็ต้องรู้ได้ทันทีว่าเธอได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมมากเพียงใด
นี่ใช่ฉีเล่ยชายหนุ่มที่เธอเคยรู้จักงั้นเหรอ? ชายหนุ่มที่ขี้อาย? ประหม่าจนทำอะไรไม่ค่อยถูก? หรือทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การแสดงจริงๆ?
ชูซินซูรวบผมยาวไปไว้ข้างหนึ่ง ก่อนจะเดินตามติดเข้าใกล้ฉีเล่ยพร้อมกับตอบไปว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน