ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 167

ตอนที่167 นายชอบเธอ

“ว้าว ว้าว! พี่หลินจู่โจมแล้ว! มาร้งมารักอะไรกันล่ะ? สุดหล่ออย่าไปเชื่อนะ ผู้หญิงคนนี้กำลังจ้องจะฟันเธอต่างหากล่ะ!”

จู่ๆเสี่ยวเจาก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ เสียงร้องตะโกนของเธอดังขึ้นจากทางด้านหลังโซฟาที่ฉีเล่ยนั่งอยู่

“เสี่ยวเจา ไม่ทราบว่าในปากของเธอเลี้ยงหมาด้วยเหรอจ๊ะ?”

หลินชูวโม่หันขวับกลับไปด่าชุดหนึ่ง

“ก็นะ…ฉันยอมไม่ได้หรอกที่จะให้สุดหล่อโดนนางพญาจิ้งจอกแถวนี้หลอกไปกิน อืมม..แต่จะว่าไปก็เลี้ยงนะ ในปากของฉันนี่เลี้ยงหมาไว้หลายตัวเลยล่ะ”

เสี่ยวเจายักไหล่พลางยิ้มตอบ แต่เมื่อหันไปเผชิญหน้ากับหลินชูวโม่เข้า เธอก็ถึงกับต้องสะพรึงกลัว นั่นเพราะขณะนี้ เธอรู้สึกประหนึ่งว่ากำลังถูกสายตาของอสรพิษร้ายจ้องมองและเตรียมพร้อมที่จะฉกได้ทุกเมื่อ

“โอเค โอเค ฉันไม่เป็นอยู่เป็นก้างขวางคอแล้วก็ได้จ้ะ เมื่อกี้แฟนฉันเพิ่งส่งข้อความมาหาพอดี น่ารักน่าชังจริงๆเลยผู้ชายคนนี้ หุหุ…บอกว่าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายด้วยแหละถ้ายังไม่รีบไปหา นี่บอกฉันว่าจะกระโดดเป็นรอบที่ห้าของเดือนแล้ว ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ”

ทันทีที่พูดจบเธอก็หันมามองฉีเล่ย พร้อมกับพูดทิ้งท้ายไว้ว่า

“นี่สุดหล่อ อย่าปล่อยให้พี่หลินเปลี่ยนแซ่นำหน้าได้ล่ะ เดี๋ยววันไหนว่างๆ พี่สาวจะมาสอนวิธีอยู่ร่วมกับเธอยังไงให้ปลอดภัยนะ แต่วันนี้ฉันคงต้อขอตัวก่อน อย่าเพิ่งพลาดท่าไปขึ้นเตียงกับเธอก่อนล่ะ”

เสี่ยวเจาโบกมือลาและแยกตัวออกไปทันที

บางทีเขาก็เริ่มคิดแล้วนะว่า ระหว่างพิษร้ายกับฝีปากของผู้หญิงนั้น อะไรน่ากลัวกว่ากัน?

แต่จะยังไงก็เถอะ ครั้งล่าสุดที่เขากับก๊วนสาวๆกลุ่มนี้ไปทานอาหารด้วยกัน ทันทีที่รู้ว่าเขาถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออก พวกเธอก็รีบติดต่อเส้นสายของตนที่มีเพื่อช่วยเหลือเขา และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉีเล่ยจึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วเนื้อในของผู้หญิงกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนดี

หลินชูวโม่ลองสวมรองเท้าส้นสูงสีม่วง พร้อมกับหันไปถามความเห็นของฉีเล่ยว่า

“แบบนี้มีทั้งส้นเตี้ยกับส้นสูง นายคิดว่าแบบไหนสวยกว่ากัน?”

“ก็ได้หมดแหละ”

ฉีเล่ยตอบไปส่งๆ

แต่ถ้าจะว่าไปตามจริง โดยพื้นฐานหลินชูวโม่เป็นคนสวยอยู่แล้ว ต่อให้ใส่ช้างดาวก็ยังดูดี

“เอาล่ะ งั้นเอาทั้งสองแบบเลย!”

หลินชูวโม่หันไปบอกกับพนักงานสาว

“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”

พนักงานสาวยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เพราะรองเท้าสีม่วงทั้งสองแบบเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นของปีนี้ คู่หนึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นหยวน และถ้ารวมกับรองเท้าอีกสองคู่ก่อนหน้านี้ พนักงานสาวจะได้ค่าคอมมิชชั่นกว่าหลายพันหยวนจากการขายสินค้าครั้งนี้เลยทีเดียว

“เดี๋ยวผมจ่ายให้เอง”

ฉีเล่ยหยิบบัตรเครดิตออกมายื่นให้กับพนักงานสาวคนนั้นทันที

“ก่อนหน้านี้ผมเคยพูดโกหกไป ถือซะว่านี่เป็นคำขอโทษ”

พนักงานสาวรับบัตรของฉีเล่ยมาด้วยสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย

ทันทีที่ชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาในร้าน เธอก็พลางคิดไปว่า ดูจากใบหน้าที่ยังเด็ก ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นเด็กเลี้ยงของคุณลูกค้าผู้หญิงที่เธอดูแลอยู่ แต่ใครจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะอาสาจ่ายค่ารองเท้าให้แบบนี้ และนี่ทำให้พนักงานสาวมองฉีเล่ยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เด็กหนุ่มหน้าอ่อนยอมจ่ายเงินไปกว่าหลายหมื่นหยวนเพื่อแลกกับรองเท้าไม่กี่คู่ให้หญิงสาวอย่างไม่ลังเลแบบนี้ ดูยังไงก็ลูกเศรษฐีชัดๆ

“เดี๋ยวก่อน!”

หลินชูวโม่รีบร้องห้ามฉีเล่ยทันที

“นี่นายเกลียดฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ?”

“เกลียดอะไร?”

ฉีเล่ยเลิกคิ้วพร้อมกับร้องถามด้วยความสงสัย

“ผมแค่อยากซื้อรองเท้าเป็นการไถ่โทษให้เฉยๆ”

“นี่นายไม่รู้เหรอว่า การซื้อรองเท้าให้กันแบบนี้มันมีความหมายว่ายังไง?”

“มีความหมายว่ายังไงเหรอ?”

“ซื้อรองเท้าให้กัน มันมีความหมายว่า นายต้องการส่งฉันออกไปจากชีวิต”

“….”

อืม…แบบนี้น่าจะซื้อให้สักสิบคู่แฮะ…

แต่การเป็นศัตรูกับอสรพิษสาวแบบนี้ย่อมไม่ใช่ทางเลือกของคนฉลาด ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้ต้องการส่งเธอออกไปจากชีวิต แม้ว่าในความเป็นจริงอยากจะทำมากแค่ไหนตาม ฉีเล่ยจึงรีบเก็บบัตรเครดิต และปล่อยให้หลิวชูวโม่ชำระเงินด้วยตัวเอง

“ไปกันเถอะ ไปดื่มกันหน่อยดีไหม?”

หลินชูวโม่หันมาบอกกับฉีเล่ยต่อทันทีชำระเงินเสร็จ พร้อมกับยื่นถุงรองเท้าทั้งสองใบให้เขาช่วยถือ

“ดื่มอะไร? ผมไม่ดื่ม”

เขาไม่อยากดื่มจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ หลังจากที่ฉีเล่ยดื่มไวน์แดงลงไป เขาก็ค้นพบว่าเส้นลมปราณตะวันฟ้าในร่างกายเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรบางอย่าง ซึ่งดูท่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ด้วย

หลินชูวโม่ยกมือป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก

“ใครบอกว่าฉันจะชวนนายไปดื่มแบบนั้น? ฉันหมายถึงไปดื่มกาแฟต่างหากล่ะ”

เนื่องจากช็อปชาแนลที่ทั้งคู่อยู่นั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง เพียงแค่เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็มีร้านกาแฟน่านั่งอยู่เต็มไปหมด

ทั้งคู่เลือกเดินเข้าไปสักร้าน จากนั้นหลินชูวโม่ก็ได้สั่งBlue Mountainและช่วยแนะนำเมนูกาแฟรสชาติดีให้กํบฉีเล่ยอีกแก้ว จากนั้นทั้งคู่ก็หามุมนั่งพักผ่อนกัน ทันทีที่นั่งลง จู่ๆเธอก็จ้องตาฉีเล่ยไม่กระพริบพร้อมกับเอ่ยปากพูดขึ้นทันที

“เอาล่ะ ทีนี้นายก็บอกฉันมาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมถึงทำหน้าตาบูดบึ้งแบบนั้น?”

“ห๊ะ?”

ฉีเล่ยร้องอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“แล้วห้ามบอกด้วยนะว่าไม่มีอะไร เพราะหน้านายมันฟ้อง คืนนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ”

หลินชูวโม่ยิ้มและกล่าวต่อว่า

“ถ้ายังกล้าพูดแบบนั้น ฉันจะสาดกาแฟใส่หน้านายแน่”

“คุณรู้ได้ยังไง?”

สีหน้าท่าทางของหลินชูวโม่ดูขี้เล่นขึ้นทันที

“ตอนที่นายเป็นปกติ เวลาเดินไปไหนมาไหนนายมักจะชอบมองไปรอบๆ ท่าทางไม่ต่างจากเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นไปซะหมด แต่ในเวลาที่มีเรื่องเกิดขึ้นกับนาย เวลาเดินนายจะเอาแต่จดจ่ออยู่กับปลายเท้าของตัวเอง ขนาดพี่สาวคนนี้พยายามกวักมือเรียกตั้งนาน นายยังเอาแต่เหม่อลอยไม่ได้ยินเลย เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า คืนนี้นายผิดปกติไป”

“….”

“ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ บางทีฉันอาจจะช่วยนายได้นะ”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็ยอมเล่าให้ฟัง

“ความจริงผมเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เลยนะ แต่จะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงได้เป็นแบบนี้ เรื่องของเรื่องคือ….”

การจะเลือกระบายความในใจกับใครสักคน คนๆนั้นไม่ควรเป็นหลินชูวโม่เพราะเกรงว่าหากเธอรู้โลกต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร วันนี้ฉีเล่ยถึงได้ตัดสินใจเล่าความจริงที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้ผู้หญิงคนนี้ฟัง แม้ว่าในเวลาปกติเธอจะเป็นผู้เหญิงที่น่ารำคาญ แต่ในยามที่ลำบาก เขากลับรู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง

วันข้างหน้า หากฉีเล่ยมีอะไรในใจ เขาคงไม่เลือกที่จะบอกกับหลี่ถงซี และถ้าจำเป็นต้องเล่าให้ใครสักคนจริงๆ เขาคงเลือกที่จะมาปรึกษากับหลินชูวโม่แทน

“นายชอบเธอใช่ไหม?”

หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากปากของฉีเล่ย หลินชูวโม่ก็ได้เอ่ยถามขึ้นทันที นี่ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ฉีเล่ยควรเศร้านะ กลับเป็นเธอมากกว่าที่ควรเศร้า

“เปล่า”

“นายชอบเธอ”

ครั้งนี้ไม่ใช่ประโยคคำถามอีกต่อไป แต่เป็นคำยืนยันที่ออกจากปากหญิงสาวด้วยความมั่นใจ

“ทำไมคุณถึงมั่นใจขนาดนั้น? นี่คุณมาเป็นพยาธิในท้องผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“นี่สุดหล่อ นายไม่ควรถามอะไรโง่ๆแบบนี้กับฉันนะ สีหน้าของนายมันก็ฟ้องชัดเจนอยู่แล้วว่านายชอบ หรือไม่ชอบเธอ อย่าหลอกตัวเองอีกเลย แต่ก็นะ… เฮ้ออ…ยัยหลี่ถงซีทำบุญด้วยอะไรกันถึงได้โชคดีแบบนี้ ฉันล่ะอิจฉาจริงๆ…”

“พูดบ้าๆ…”

เฉพาะเวลานี้เท่านั้น ที่หลินชูวโม่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งของฉีเล่ยที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“ฟังจากคำพูดของนายแล้ว ดูท่าผู้ชายคนนั้นคงจะดูดีมากเลยสินะ?”

“ถ้าคุณได้พบเข้า คงต้องหลงเสน่ห์เขาทันทีตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ”

“ฉันนี่นะ? ฮ่าฮ่าๆๆ! ขอโทษนะ ถ้าอีกฝ่ายเป็นเสือผู้หญิง ฉันนี่แหละที่เป็นเสือผู้ชาย! มีผู้ชายไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้วที่ผ่านมือฉัน แต่ถึงอย่างนั้น กลับไม่มีผู้ชายคนไหนเลยที่สามารถดึงดูดความสนใจของฉันได้จริงๆ”

หลินชูวโม่นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อทันที

“แต่…นายเป็นข้อยกเว้น ในเมื่อยัยหลี่ถงซีตาบอดแบบนี้ ทำไมนายไม่ลองเปลี่ยนมาคบหากับฉันแทนล่ะ? ลองมองมาที่ฉันสักครั้งบ้างสิ? ฉันก็ไม่ได้แย่ไปกว่ายัยนั่นเลยนะ”

“.…”

ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างหลินชูวโม่กับหลี่ถงซี ความจริงแล้ว ระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนนี้ ก็แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครสวยกว่าใคร คำนิยามที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้คงต้องใช้คำว่า ‘สวยกันคนละแบบ’ คนหนึ่งสวยเย็นเหมือนน้ำแข็ง ส่วนเธออีกคนสวยเร่าร้อนเหมือนเปลวเพลิง

แต่ถ้าจะให้จัดอันดับกันอย่างจริงๆจังๆแล้วล่ะก็ ต้องบอกเลยว่า ผู้หญิงทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์ไร้ที่ติ เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายทุกคนต่างก็ใฝ่ฝัน

หลินชูวโม่จึงได้เอ่ยถามต่อว่า

“หรือว่าหน้าอกของฉันใหญ่โตไม่เท่าเธอ?”

ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่

หลินชูวโม่จึงได้แต่ถามต่อว่า

“งั้นคงเป็นเพราะขาของฉันเรียวยาวไม่เท่ายัยนั่นสินะ?”

ฉีเล่ยยังคงส่ายหัว

“ก็ถ้าไม่ใช่ แล้วนายยังจะลังเลอะไรอยู่อีก?”

“ไร้สาระน่า”

ฉีเล่ยบ่นขึ้นมาด้วยความรำคาญ

“ผมมีภรรยาแล้วนะ”

“ก็ใช่ นายมีภรรยาแล้วไง หลี่ถงซีเองก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้นนายเองก็ยังชอบเธอได้เลยจริงไหมล่ะ?” ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างหมดหนทาง

“มันเป็นไปไม่ได้ ถึงผมจะรู้สึกยังไงกับเธอ สิ่งที่ผมควรทำคือหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้”

“นายนี่มันเป็นคนหน้าซื่อใจคดจริงๆเลย”

หลินชูวโม่ถอนหายใจเช่นกันพร้อมกับพูดต่อว่า

“เคยได้ยินคำพูดประโยคนี้บ้างไหม…ขนาดร่างกายยังไม่ใช่ของเราเลย แล้วนายจะไปบังคับความรู้สึกให้เลือกชอบใครสักคนได้ยังไง? พูดแล้วฉันก็สงสัยนะว่า ภรรยาของนายจะมีดีสักแค่ไหนเชียว?”

ฉีเล่ยปิดปากเงียบไม่ตอบ แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทนว่า

“คุณพอจะมีความรู้เรื่องบ้านไหม?”

“ทำไม? นายอยากจะซื้อบ้านเหรอ?”

หลินชูวโม่ที่มักจะเอาใจใส่เรื่องของฉีเล่ยเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถามออกมาแบบนั้น จึงพอที่จะคาดเดาสถานการณ์ได้ในทันที

หลี่ถงซีกับแฟนเก่าอาจจะกลับมาคบกันอีกครั้ง และการที่ฉีเล่ยจะยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านสกุลหลี่ มันคงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก

ลองคิดดูสิว่า หากผู้ชายทั้งสองคนบังเอิญต้องเผชิญหน้ากันในบ้าน มันจะรู้สึกอึดอัดมากขนาดไหน?

“ผมสนใจเป็นพวกทาวน์โฮมน่ะ”

ฉีเล่ยรีบพูดต่อทันที

“ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ซื้อวันนี้ไม่ได้ แล้วคืนนี้นายจะไปนอนที่ไหน?”

หลินชูวโม่ยิ้มออกมาพร้อมกับเสนอว่า

“หรือจะมาค้างคืนกับพี่สาวคนนี้ดีจ๊ะ?”

“ตัดอย่างหลังทิ้งไปได้เลย”

ฉีเล่ยปฏิเสธข้อเสนออีกฝ่ายโดยแทบไม่ต้องคิด

“อะไรกัน? นี่นายกลัวฉันถึงขนาดนั้นจริงๆเหรอ? ฉันไม่เขมือบนายหรอกน่า”

หลินชูวโม่กล่าวตัดพ้ออีกว่า

“ต่อให้ฉันสามารถกลืนกินนายทั้งตัวได้จะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อใจของนายไปอยู่กับคนอื่นหมดแล้ว เฮ้ออ~”

“แค่กๆๆ”

ฉีเล่ยที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพอดีถึงกับสำลักออกมาทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน