ตอนที่180 มาทำอะไรที่นี่ – ตอนที่ต้องอ่านของ ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
ตอนนี้ของ ยอดคุณหมอสกุลเฉิน โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายActionทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่180 มาทำอะไรที่นี่ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่180 มาทำอะไรที่นี่
ฉีเล่ยเอ่ยถามเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ผมว่าง มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“ถ้าคืนพรุ่งนี้มีเวลา คือแม่หนูบอกว่า…อยากให้อาจารย์ฉีมาร่วมทานข้าวกันที่บ้านค่ะ”
ฉีเล่ยตกใจเล็กน้อย
“หมายถึงว่า ให้ผมไปทางมื้อเย็นกับครอบครัวของคุณ?”
ฉีเล่ยแทบจะไม่ทราบประวัติของครอบครัวเหอจื่อมาก่อนเลย แต่การที่สามารถสั่งปิดKTVในย่านหรูกลางเมืองหลวงได้ตามต้องการแบบนี้ ก็ควรจะต้องเป็นครอบครัวที่ทรงอิทธิพลอย่างมาดก ไม่อย่างนั้นพ่อของเหอจือเองก็คงขึ้นกลายเป็นแม่ทัพภาคที่1ไม่ได้เช่นกัน
ถ้าพูดหรือทำอะไรผิดไปแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช่ว่าเขาจะโดนสั่งเก็บเลยเหรอ?
“อ่อ…ครับ”
“พอดีพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของแม่หนูเอง เธอบอกว่าอยากให้หนูพาคนรู้จักไปสักสองสามคน ไม่งั้นงานเลี้ยงคงกล่อยน่าดู”
ฉีเล่ยนพยักหน้าตอบกลับไป อันที่จริงนิสัยของแม่เหอจื่อเองก็ไม่ได้แย่เลย คงไม่เป็นอะไรถ้าเขาไปร่วมงานด้วย เขาจึงกล่าวเห็นด้วยไปทันทีว่า
“ตกลง เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปครับ”
พอได้ยินฉีเล่ยตอบตกลงไปแบบนั้น เหอจื่แอก็เอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นอกตื่นเต้นว่า
“ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ฉี งั้นคืนพรุ่งนี้เดี๋ยวหนูส่งรถไปรับนะคะ”
ฉีเล่ยวยิ้มตอบกลับไปว่า
“ผมต่างห่ากที่ควรจะขอบคุณ”
เมื่อฉีเล่ยเดินจากไป เหอจื่อก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วจิ้มไปที่เบอร์แม่ขจองเธอพร้อมกดโทรออกทันที เธอยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“มู่เสี่ยวหยาน รับเตรียมตัวเลยนะ อาจารย์ฉีรับปากกับฉันแล้วว่า จะมาทานมื้อเย็นที่บ้านพวกเราในคืนพรุ่งนี้”
มู่เสี่ยวหยานกล่าวตอบผ่านโทรศัพท์อย่างมีความสุขว่า
“ได้เลย ได้เลย อันที่จริง แม่เองก็ตั้งใจจะเลื่อนจัดงานวันเกิดไปอีกสักสองสามวันให้หลัง เพราะเดาว่าช่วงนี้ฉีเล่ยน่าจะยุ่ง แต่ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินว่า มู่เสี่ยวหยานวางแผนที่จะเสียสละเลื่อนงานวันเกิดของตัวเองออกไป มันก็ทำให้เหอจื่อรู้สึกดซาบซึ้งเล็กน้อย
“แม่…ขอบคุณ”
เหอจื่อกล่าวผ่านไปถึงปลายสาย
“…”
ทันทีทันใดปลายสายโทรศัพท์พลันเงียบลงไปฉับพลัน
เหอจื่อรีบเร่งเอ่ยถามอย่างเป็นกังวลทันทีว่า
“นี่? มู่เสี่ยวหยาน เธอเป็นอะไรไปน่ะ?”
มู่เสี่ยวหยานกำลังร้องสะอึกสะอื้นอยู่ ณปลายสาย เธอกล่าวทั้งน้ำตาว่า
“เจ้าเด็กบ้า ทำไมจู่ๆก็พูดเพราะขึ้นมาแบบนี้ แม่ตั้งตัวไม่ทัน ฮึกๆ…หรือสมองของแกกระทบกระเทือนอะไรมารึเปล่า? โถ่…ลูกสาวของแม่ ฉันคิดว่าจะได้ยินแกเรียกฉันว่าแม่อีกทีก็ตอนก่อนตายซะแล้ว”
“…..”
สักประมาณเกือบบ่ายสองโมง ฉีเล่ยที่กำลังยืนรออยู่หน้าอาคารสาขาแพทย์แผนจีนอยู่ ทันใดนั้นเขาก็พลันไปเห็นMercedes-Benzของเป่ยจ้าวหยวนที่เร่งเข้ามาแต่ไกล
ฉีเล่ยยังจำได้ชัดเจนว่า ครั้งล่าสุดที่เป่ยจ้าวหยวนขับรถมามหาวิทยาลัยเพื่อตามจีบหลี่ถงซี เขายังขับรถสปอร์ตจากัวร์มาอยู่เลย ผ่านไปแค่ไม่กี่วันเขาก็เปลี่ยนแบรนด์เป็นยี่ห้ออื่นซะแล้ว
ฉีเล่ยวิ่งไปหาพร้อมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถอย่างรวดเร็ว เขายิ้มและหันไปกล่าวกับเป่ยจ้าวหยวนว่า
“ดูเหมือนว่าวงการแพทย์ผีนจีนยังพอทำเงินได้เยอะอยู่นะครับ”
เป่ยจ้าวหยวนถอนหายใจเล็กน้อยหันกลับไปตอบว่า
“ในโลกใบนี้ ตราบเท่าที่แกอยู่บนจุดสูงสุดของสักสายอาชีพหนึ่ง มันก็สามารถทำเงินได้ไม่ยาก”
“แต่ก็อย่างว่านะ วงการแพทย์แผนจีนมันถือได้ว่ามีสถานะอยู่ต่ำกว่าสายอาชีพอื่นๆมาก จุดสูงสุดยังพอทำกำไรได้ แต่ใครก็ตามที่อยู่ช่วงกลางถึงต่ำสุด ขนาดจะหาเงินเลี้ยงชีพยังยากมากเลย ฉันเองก็พบเจอมาแล้วหลายคนนะ นักศึกษาแพทย์แผนจีนที่เพิ่งจบใหม่ ช่วงแรกก็ไฟแรงดีอยู่หรอก แต่พอผ่านไป2-3ปี สุดท้ายก็อยู่ไม่ไหวต้องโยกย้ายไปทำสายอื่นกันหมด พวกเขาไม่มีทางเลือกเลยจริงๆ”
“ถูกต้อง ดังนั้นเราจะอยากเปลี่ยนให้สังคมตอนนี้หันมาใช้ยาจีน หันมาพึ่งพายาจีนกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาแรกที่เราต้องเผชิญเลยก็คือ การเจริฐเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวงการแพทย์ตะวันตก นี่ทำให้แพทย์แผนจีนไม่มีที่ยืน”
เป่ยจ้าวหยวนถอนหายใจอีกคราเสียงอ่อน
“อุดมการณ์ยิ่งใหญ่ แต่ความเป็นจริงกลับเล็กมากจริงๆ มันยากมากเลยนะการที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง ขนาดตอนนี้คุณปู่กับก๊วนของเขาพยายามกันแทบตาย ยังแทบจะสร้างความเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหวังพึ่งแกไง ในอนาคตแกจะต้องแบกรับความคาดหวังของทุกคนให้ไหว ในจุดนี้แกรับได้ไหมล่ะ?”
“ฉันมาส่งได้ถึงตรงนี้แลหะ ที่เหลือต้องช่วยตัวเองแล้วนะ ฉันไม่มีสิทธิ์เข้าไป”
ฉีเล่ยฉโค้งศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายเล็กน้อย
“ขอบคุณมากครับพี่เป่ย ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเองไม่ต้องห่วง”
“อ่อ แล้วก็นะ แกเห็นโต๊ะมุมตรงโน้นไหม? แกสามารถไปเอาบัตรห้อยคอที่นั่นได้ มันจำเป็นต้องใช้เพื่อระบุตัวตนน่ะ เข้าไปแล้วก็อย่าลืมไปเอาบัตรมาห้อยคอก่อนล่ะ”
“ได้เลยครับ”
ณ หน้าประตูห้องประชุมใหญ่ ฉีเล่ยหยิบบัตรประจำตัวประชาชนออกมาให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตัวตน ก่อนจะได้รับบัตรประจำตัวเข้ามาห้อยคอ จากนั้นค่อยเดินเข้าไปในงาน
จะว่าไปแล้ว โลกใบนี้ก็กลมจริงๆนั่นแอหละ ยังไม่ทันได้เดินไปไหน เขาก็พบตาแก่ซงในชุดสูทกำลังสนทนากับกลุ่มอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ
เมื่อเห็นฉีเล่ยปรากฏรตัวขึ้นที่นี่ ตาแก่ซ่งก็ขมวดคิ้วแน่นเอ่ยถามทันทีขึ้นว่า
“แกมาทำอะไรที่นี่?”
ต้องเข้าใจก่อนว่า ตาแก่ซ่งคนนี้ถือเป็นอาจารย์ระดับอาวุโสที่มีพื้นฐานความรู้ด้านทฤษฎีการแพทย์แผนจีนที่แน่นมาก
เขาสอนพื้นฐานทางหลักทฤษฎีทางการแพทย์แผนจีนมาทั้งชีวิต ดังนั้นเขาย่อมจะต้องมีสิทธิ์เข่าร่วมงานประชุมนี้โดยปริยาย และพอได้เข้ามาที่นี่จริงๆ เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก
แต่เวลานี้…เมื่อพบว่าฉีเล่ยเองก็โผล่หัวมาอยู่ที่นี่เช่นกัน ความโกรธเกรี้ยวที่กักเก็บภายในใจของตาแก่ซงก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง
มันราวกับว่าตนเองที่เป็นพญาเสือ ผู้ได้รับการขนานนามว่า ราชันแห่งสัตว์ป่า กำลังปกปักษ์รักษาอาณาเขตตัวเองอยู่ แต่ทันใดนั้นกลับมีลูกเสือตัวน้อยจากไหนไม่รู้โผล่เข้ามาท้าทาย ทำให้ตาแก่ซงรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก และแน่นอน เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ บทสรุปสุดท้ายจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่องพ่ายจากไป
ฉีเล่ยเอ่ยถามพลางปั้นหน้าล้อเลียนว่า
“แล้วทำไมผมจะมาไม่ได้?”
ตาแก่ซงผู้ยืนอย่ำบนจุดสูงสุดแห่งคณะอาจารย์ทั้งมวล มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้ฉีเล่ยต้องอับอายต่อหน้าอาจารนย์ท่านอื่นๆ
“นี่ยังต้องถามอีกเหรอ? สิทธิ์การเข้าร่วมงารนประชุมของมหาวิทยาลัยเรามีแค่สองที่นั่งเท่านั้น แล้วแกก็ไม่ได้สักกะสิทธิ์ แล้วยังจะมีหน้าเสล่อมาที่นี่อีกเหรอ? รู้ไหมว่าการคที่แกลักลอบมาเองแบบนี้มันจะทำให้มหาวืทยาลัยเราเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน ถ้าโดนจับได้?! กลับไปซะ!”
“ไม่ทราบว่าตาบอดเหรอครับอาจารย์ซง? เห็นนี่ไหม? ผมมีสิทธิ์เข้าร่วมโดยชอบธรรมครับ”
ขณะที่เอ่ยกล่าว ฉีเล่ยก็ชูป้ายห้อยคอสีน้ำเงินขึ้นมาให้ดู
“…..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน