ยอดคุณหมอสกุลเฉิน นิยาย บท 182

ตอนที่182 ปลุกเร้าความโกรธกลางสาธารณะชน

คนแรกที่เริ่มประเดิมการกล่าวสุนทรพจน์ก็คือ อาจารย์ระดับอาวุโสจากมาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งหัวข้อที่เขานำมาพูดให้ทุกคนฟังคือ‘ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์แผนจีนและปรัชญาโบราณ’

เห็นได้ชัดว่า อาจารย์อาวุโสท่านนี้ให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้มากเพียงใด เพราะบทสุนทรพจน์ที่ยาวมากในมือของเขานั้น พูดได้ว่าในประโยคหนึ่งนั้นอัดแน่นไปด้วยคำพูดสละสลวยอยู่มากมาย และต้องใช้เวลาร่วม20นาทีกว่าจะพูดจบ

สิ่งนี้ทำให้ประธานผู้จัดงานประชุมค่อนข้างรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ พวกเขากำหนดเวลาการกล่าวสุนทรพจน์ไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า ให้เวลาเพียงแค่คนละ 5 นาทีเท่านั้น แต่ชายชราผู้นี้กลับพูดเกินเวลาของคนอื่นไปนานขนาดนี้ได้ยังไง?

ผู้บรรยายคนต่อไปที่ลุกขึ้นยืนยังคงเป็นอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีนจากมหาวิทยาลัยดังอีกแห่งหนึ่ง โดยหัวข้อที่นำมากล่าวในวันนี้ก็คือ ‘ความเชื่อมโยงระหว่างการแพทย์แผนจีนและธาตุทั้งห้าในร่างกาย’

แม้ว่าจะหยิบยกประเด็นจั่วหัวขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจมาก แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทำให้ฉีเล่ยรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาได้เลย

ถัดจากอาจารย์คนนั้นก็คือชายชราที่ฉีเล่ยเพิ่งพบเจอมานั่นเอง เขาก็คือ กัวเฟิงฮวา ที่ต้องขึ้นพูดในฐานะแพทย์จากเฉิงตูง

หัวข้อที่หยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ‘แนวคิดโดยรวมสำหรับการฝังเข็มและรมยาด้วยสมุนไพรจีน เพื่อจำแนกรักษาตามกลุ่มอาการ’ เป็นการหยิบยกเคสตัวอย่างที่เขาเคยรักษาขึ้นมาบรรยาย และนำมาวิเคราะห์ให้ผู้ร่วมประชุมได้ฟังโดยละเอียดว่า ทำไมต้องใช้การรมควันด้วยสมุนไพรชนิดนี้ และทำไมต้องสั่งยาจีนแขนงนี้ออกไป?

ภายในเนื้อหาที่บรรยายออกไปนั้น ล้วนเป็นการผสมผสานระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้อย่างลงตัว ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ร่วมประชุมอย่างท่วมท้น แม้กระทั่งฉีเล่ยเองก็ยังอดที่จะนึกชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ การบรรยายที่ดีไม่ใช่มีแค่เนื้อหาภาคทฤษฎีที่ชวนให้หลับ แต่ควรต้องสอดแทรกประสบการณ์เพื่อยกตัวอย่างให้ผู้ฟังได้เห็นภาพชัดเจนด้วย

สุนทรพจน์บทต่อไปของอาวุโสอีกคนหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีเชิงอุดมการณ์ โดยเนื้อหาภายในนั้นมีแต่เรื่องเทพ การที่มนุษย์เดินทางสู่สวรรค์ ออกทะเลไปไกลจนฉีเล่ยแอบคิดว่า ชายชราคนนี้หลอนยาก่อนเข้าร่วมการประชุมรึเปล่า?

ฉีเล่ยไม่ทราบเช่นกันว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงกัน แต่ที่แน่ๆเขาฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก

จากการบรรยายนี้ทำให้ฉีเล่ยตระหนักได้ว่า การปล่อยให้คนแก่หลงไปกับจินตนาการของตน จะส่งผลกระทบต่อสังคมในทางลบมากมายเพียงใด อย่าว่าแต่คุยเรื่องทฤษฎีเชิงอุดมกรณ์เลยครับ…พูดภาษามนุนย์ให้รู้เรื่องก่อนเถอะ

ต่อไปก็ถึงคราวของของเพื่อนร่วมงานของฉีเล่ยอย่างอาจารย์หลี่และตาแก่ซง เมื่อตัวแทนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งลุกขึ้นพูด ฉีเล่ยที่ได้ฟังก็ถึงกับง่วงจนแทบหลับคาเก้าอี้

เป็นเพราะเหตุการณ์ของหลี่ถงซีที่มีอาการแย่ลงได้เข้ามารบกวนจิตใจของฉีเล่ยอยู่ตลอดเวลา ทำให้เมื่อคืนเขานอนไม่ค่อยหลับ แต่ในวันนี้ ราวกับถูกมนต์แห่งบทบรรยายของตาแก่ซงสะกดเข้า เขาถึงกับรู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“เรียน ท่านรองรัฐมนตรีโจวและประธานกู๋ที่เคารพ ผมชื่อ ซงซีหมิงจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง จะขอพูดให้หัวข้อ…

ฉีเล่ยค่อยๆรูดตัวลงจากเก้าอี้ พร้อมกับหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดทรมานเกินบรรยาย

“ใครก็ได้…ช่วยฆ่าฉันที”

ฉีเล่ยไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ตาแก่ซงบรรยายจบลง มีใครบางที่ลุกขึ้นมาบรรยายต่อ เพราะเขาได้เผลอหลับผล็อยอยู่ยกลางห้องประชุมไปแล้ว

“ต่อไป ขอเชิญคุณฉีเล่ย ผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ลุกขึ้นมากล่าวบรรยายในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสูง

เชิญครับ…”

แม้แต่ประธานผู้จัดงานประชุมเองยังป่าวประกาศด้วยน้ำเสียงยานคาง และเซื่องซึมเสียยิ่งกว่าอะไรดี

แม้ว่าฉีเล่ยจะเป็นคนที่รักในศาสตร์แพทย์แผนจีนมากขนาดไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาจะชอบมานั่งฟังตาแก่พวกนี้พล่ามเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องประชุม

ความจริงแล้ว ที่ฉีเล่ยต้องการมาที่นี่ก็เพราะต้องการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งวงการแพทย์แผนจีน แต่เมื่อได้มานั่งประชุมที่นี่จริงๆ และได้ฟังการบรรยายที่สุดแสนจะน่าเบื่อเหล่านี้ เขาเองก็เริ่มมีความคิดอยากจะกลับบ้านแล้วเช่นกัน

“ทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์? นี่มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

“ฉันเพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์มาไม่กี่วันนี่เอง เห็นว่าในที่สุดลูกหลานผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหารย์ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว แต่ที่มาในวันนี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอ คิดว่าคงเป็นการบรรยายเหมือนปกติเช่นเดิม แต่ใครจะคิดว่าวันนี้จะได้พบเจอตัวทายาทวิชาสามเข็มปาฏิหารย์ตัวจริง”

“ไม่ ไม่ ไม่ แต่วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์มันใช่วิชาที่เรียนรู้กันง่ายๆไม่ใช่เหรอ? ฉันว่าสุดท้ายก็แค่ราคาคุย แต่ใช้คำว่าผู้สืบทอดวิชามาข่มขวัญพวกเราเท่านั้นเอง เหอะ เหอะ…คนแบบนี้ฉันเจอมาเยอะแล้ว แต่สุดท้ายก็ล้วนถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา เด็กคนนี้มันไม่รู้จุดยืนตัวเองเลยรึไง?”

ฉีเล่ยปรายตามองหลายๆคนที่กำลังนั่งชื่นชมเขาด้วยสีหน้าวาจาถากถาง แต่เขาก็ยังยิ้มและกล่าวเสียงดังลั่นว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน