ตอน ตอนที่240 นายฝันถึงใคร จาก ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่240 นายฝันถึงใคร คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายAction ยอดคุณหมอสกุลเฉิน ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่240 นายฝันถึงใคร
“ท่านอาจารย์!”
ฉีเล่ยร้องตะโกนเรียกเสียงดัง เขาคิดไม่ถึงว่าบทจะไป นักพรตชราก็เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ให้กับเขาเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่านักพรตชราผู้นี้จะคิดอะไรกับเขาก็ตาม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นักพรตชราคือผู้มีบุญคุณที่เขาต้องสำนึก และขอบคุณที่ช่วยทำให้เขามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนรักในความถูกต้องของฉีเล่ย เขายอมตอบแทนความเมตตาของเฉินฉางชิง ด้วยการยอมมีชีวิตตกต่ำยิ่งกว่าสุนัขอยู่ในบ้านสกุลเฉินนานถึงแปดปี และหากเขาไม่ตอบแทนนักพรตชราผู้นี้เลย เขาคงจะรู้สึกผิดมากจริงๆ
“มีอะไรอีกงั้นรึ?”
นักพรตชราหันกลับมามองท่าทางระล้าระลังของฉีเล่ย พร้อมกับร้องถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ท่านอาจารย์ครับ ผมอยากได้เบอร์โทรศัพท์ หรือที่อยู่สำหรับติดต่อท่านอาจารย์ครับ” ฉีเล่ยเอ่ยตอบทันที
นักพรตชรายิ้มและตอบกลับไปว่า “จอกแหนไร้ราก จิตใจไร้ซึ่งความกังวล ฉันอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง เธออย่ากังวลใจไปเลย หากมีวาสนาคงได้พบกันอีกครั้ง”
เมื่อร่างของซวนจือซือหายลับไปจากสายตา ฉีเล่ยซึ่งยืนอยู่ที่เดิมนั้น ใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกขึ้นทันที
ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นให้เราได้พบโดยบังเอิญ แต่กลับกลายเป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่งต่อชีวิตของเรา
และในครั้งแรกที่ฉีเล่ยได้พบกับนักพรตชราผู้นี้ เขาก็ได้มอบใบสั่งยาซึ่งทำให้ฉีเล่ยมีชีวิตยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ ในครั้งที่สองของการได้พบกัน นักพรตชราก็ยังได้รับฉีเล่ยเป็นศิษย์กิตติมศักดิ์ อีกทั้งยังมอบตำราหนึ่งเล่ม กับประคำฤทธิ์เย็นอย่างประคำโลหิตม่วงให้เขาอีกด้วย
ฉีเล่ยถือคัมภีร์โบราณสีเหลืองที่หน้าปกมีอักษรคำว่า ‘บันทึกวิชาลับ’ เขียนไว้ ภายในมีตัวอักษรที่เขียนไว้ด้วยลายมือปรากฏอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉีเล่ยที่จะอ่านทำความเข้าใจ อีกทั้งยังมีภาพวาดลายเส้นชัดเจนประกอบอยู่ด้วย และทุกลายเส้นยังดูสมบูรณ์อย่างยิ่ง
คัมภีร์เล่มนี้ดูเหมือนจะบันทึกวิธีการจู่โจม และป้องกันไว้ ฉีเล่ยเปิดมองผ่านๆ และไม่พบว่าจะมีอะไรที่นอกเหนือจากนี้เลย
‘ในเมื่อได้สืบทอดวิชาแพทย์อันล้ำเลิศของตระกูลเฉินไว้แล้ว ยังจำเป็นที่ฉันจะต้องฝึกอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?’
ฉีเล่ยยืนถือบันทึกวิชาลับไว้ในมือ พร้อมกับครุ่นคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ
……
เมื่อกลับไปถึงห้องถ่ายทำ หลินชูโม่วก็ร้องถามด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจขึ้นมาทันที
“ฉีเล่ย นี่นายหายไปไหนมา? จู่ๆก็ผลุนผันวิ่งออกไปแบบนั้น มือถือก็ไม่เอาไปด้วย รู้ไหมว่าทุกคนตามหานายไปทั่ว?”
“ไม่มีอะไรๆ พอดีผมเจอเพื่อนเก่าเข้า ก็เลยออกไปคุยด้วยนิดหนิ่ย”
ฉีเล่ยตอบกลับยิ้มๆ ไม่บ่อยนักที่หลินชูวโม่จะมีท่าทางตื่นตระหน แล้วก็กระวนกระวายอย่างนี้ให้เห็น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังสวยไม่สร่างอยู่ดี
“เพื่อนที่ไหนกัน?” หลินชูวโม่ร้องถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นักพรตคนหนึ่งน่ะ เขาบอกกับผมว่า อยากจะทำนายดวงชะตาให้กับผม”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบพร้อมกับถามหญิงสาวไปว่า “คุณเชื่อเรื่องพวกนี้ไหม?”
“ฮ่าๆๆ ฉันก็ทำนายดวงชะตาคนได้เหมือนกันนะ”
หลินชูวโม่หัวเราะคิกคัก แล้วจึงถามฉีเล่ยว่า “นายอยากให้ฉันดูดวงให้นายบ้างไหมล่ะ?”
“ได้สิ! พูดมาเลย ผมอยากจะรู้ว่าแม่นยำแค่ไหน?”
ฉีเล่ยเอ่ยท้าทายหลินชูวโม่ เขาไม่เชื่อว่าหญิงสาวคนนี้จะมีความรู้ความสามารถในด้านนี้ด้วย ต่อให้จะพูดโกหก ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนเชื่อได้
“คืนนี้นายจะต้องฝันถึงฉัน…” หลินชูวโม่กระซิบข้างหูของฉีเล่ย
“…”
………
แสงอาทิตย์สาดส่อง ความเงียบสงบเข้ามาเยือน
สิ่งแรกที่ฉีเล่ยทำเมื่อลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าก็คือ รีบใช้ฝ่ามือสัมผัสเป้ากางเกงของตัวเอง เมื่อพบว่าทุกอย่างยังอยู่เป็นปกติดี เขาก็ถึงกับต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ฉีเล่ยร้องถามหลินชูวโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าผิดหวัง “เสียใจด้วย คำทำนายของคุณไม่แม่น”
“แปลกจัง ทำไมถึงผิดพลาดได้นะ?”
หลินชูวโม่เอ่ยตอบพร้อมกับทำสีหน้าผิดหวังเสียดาย
“แน่นอนอยู่แล้ว มันจะแม่นยำได้ยังกันล่ะ?” ฉีเล่ยตอบกลับด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ
“นี่น้องชาย ตื่นได้แล้ว! นอนหัวเราะอะไรตั้งแต่เช้า น่ากลัวชะมัด!”
ฉีเล่ยรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังร้องตะโกนอยู่ข้างหู ส่วนตัวเขาก็รู้สึกเจ็บปวดบริเวณช่วงล่างเป็นอย่างมาก คล้ายกลับถูกตีด้วยอะไรบาอย่าง
“แปลกจัง นี่ฉันตื่นแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ฉีเล่ยลืมตาขึ้นมองด้วยความสงสัย แต่กลับพบเห็นเพียงร่องลึก และเนินเนื้อนุ่มขาวนวลเต็มสองตา
หลินชูวโม่อยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีแดงบางเบา และกำลังโก้งโค้งอยู่ข้างๆฉีเล่ย ในมือถือตะเกียบคู่หนึ่งไว้ และกำลังใช้ปลายตะเกียบเล่นงานช่วงล่างของเขาอยู่
ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าปีศาจ!
“นี่! คุณทำนายไม่แม่น!”
ฉีเล่ยร้องบอกหลินชูวโม่ นับว่าเขาสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก แม้จะต้องเผชิญกับการปลุกเร้ายั่วยวน แต่เขากลับสามารถรักษาจิตใจของตัวเองให้สงบนิ่งได้ นี่เขาต้องไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาแน่ๆ
นี่ฉันเป็นซุปเปอร์แมนรึเปล่า?
เพื่อต้องการให้คำทำนายของตัวเองเป็นจริง หญิงสาวถึงกับยอมใช้ตัวเองเย้ายวนหลอกล่อฉีเล่ยอยู่ตลอดทั้งคืน โดยเริ่มจากการสวมชุดนอนเนื้อบางเดินผ่านหน้าเขาไปมา พร้อมกับส่งนายตาเย้ายวนให้อยู่หลายต่อหลายครั้ง
จากนั้น ก็เดินถือไดร์เป่าผมออกมาให้ฉีเล่ยช่วยเป่าผมให้ ส่วนตัวเธอก็ไปนอนเอนกายด้วยท่วงท่าเซ็กซี่อยู่บนโซฟา จนฉีเล่ยถึงกลับเป่าผิดเป่าถูกไปโดนใบหน้าของเธออยู่หลายต่อหลายครั้ง
ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังสั่งให้ถงเซียวเซียวเปิดเรียวขาสวยงามให้ดูต่อหน้าฉีเล่ยด้วย
กระทั่งตัวเขาเองยังไม่รู้ว่า ตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะในหัวสมองมีแต่ภาพที่ยากจะบรรยายออกมาได้อยู่เต็มไปหมด
ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดในใจว่า ระหว่างภูติผีวิญญาณกับหลินชูวโม่ หญิงสาวคนนี้ไม่น่าเชื่อถือที่สุด!
ระหว่างรับประทานอาหาร หลินชูวโม่กับถงเซียวเซียวก็เอาแต่กระซิบกระซาบพร้อมกับหัวเราะกันคิกคักไม่หยุด ส่วนฉีเล่ยก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเดียว
ถ้าอยากมีชีวิตที่สงบสุข ก็จงอยู่ให้ห่างจากอิสตรี!
ฉีเล่ยตัดสินใจแน่วแน่ว่า หลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะรีบหนีให้ห่างจากหญิงสาวทั้งสองคนทันที เพราะมันทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก
“นี่ๆ หยุดหัวเราะได้แล้ว ดูสิ หัวของเขาแทบจะซุกลงไปในจานข้าวแล้ว”
ถงเซียวเซียวร้องบอกเพื่อนสาว เพราะอดที่จะสงสารฉีเล่ยไม่ได้
“สมน้ำหน้า ใครให้เขาบังอาจฝันทุเรศๆแบบนั้นต่อหน้าพวกเราล่ะ?” หลินชูวโม่ยังคงไม่เห็นใจ
ฉีเล่ยฟังแล้วแทบอยากจะเอาหัวชนกำแพงให้ตายๆไป ที่เผลอไปหลงเชื่อคำพูดของผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้
“ก็ได้ๆ ฉันจะหยุดแค่นี้ก็ได้!”
หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าและแววตาของฉีเล่ยแล้ว ในที่สุดหลินชูวโม่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้ จึงได้หยุดล้อเลียนเขา และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน
“นี่ฉีเล่ย เรื่องสภาแทพย์แผนจีนของนายเป็นยังไงบ้าง?”
จากนั้น ฉีเล่ยจึงได้เล่าเรื่องที่เขาได้พูดคุยกับโจวเซียวตงให้สองสาวฟัง
“โครงการนี้ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว นายอยากให้พวกเราช่วยอะไรบ้างไหม?”
“คงจะลำบากแค่ช่วงเริ่มต้น หลังจากก่อตั้งเรียบร้อยแล้ว อะไรๆก็คงจะง่ายขึ้น” ฉีเล่ยอธิบายให้ฟัง
“แล้วตอนนี้นายยังขาดอะไรอีกบ้าง?” หลินชูวโม่เอ่ยถาม
“เงินทุนตั้งต้นกับพื้นที่สำหรับสร้างสำนักงาน”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหลินชูวโม่ก็พูดขึ้นว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม? ฉันจะออกทุนในนามส่วนตัวให้ก่อนสิบล้าน แล้วก็ในนามคลินิกชูวโม่อีกสิบล้าน รวมเป็นยี่สิบล้าน นายคิดว่าพอไหม?”
“พอสิ!”
ฉีเล่ยพยักหน้า เพราะเงินทุนจำนวนนี้มากกว่างบประมาณเดิมที่เขาตั้งใจจะไปปรึกษารือ และขอหยิบยืมจากอาจารย์เป่ยกับคนอื่นๆเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่า ปัญหาเรื่องนี้จะจบลงที่หลินชูวโม่เพียงคนเดียว
หลังจากก่อตั้งสภาแพทย์แผนจีน และสามารถรวบรวมแพทย์แผนจีนจากทั่วโลกมาอยู่ในองค์แห่งนี้ได้แล้ว หากองค์กรมีการวิจัยค้นคว้าเรื่องใดๆ หญิงสาวผู้นี้ย่อมต้องมีสิทธิ์ที่จะได้ซื้อผลงานวิจัยชิ้นนั้นก่อนคนอื่น นี่จึงนับเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดมากทีเดียว
และแน่นอนว่า หากสามารถแปรงานวิจัยออกมาเป็นผลิตผลได้ ย่อมสามารถทำเงินได้อย่างแน่นอน!
“แต่.. ฉันไม่เอาเงินมาทิ้งเฉยๆแน่ ฉันต้องการได้หุ้นด้วย!” หลินชูวโม่ร้องบอกฉีเล่ย
“อะไรนะ?! คือผมยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย”
ตอนนี้ฉีเล่ยยังไม่คิดถึงเรื่องให้ใครมามีหุ้นส่วนในสภาแพทย์แผนจีนที่เขากำลังจะก่อตั้งขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดคุณหมอสกุลเฉิน